วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๕

นักขี่จักรยาน

กว่ายี่สิบกิโลเมตรจากบ้านสวนไปเชียงของ หลายครั้งที่ฉันมีธุระในเมือง ฉันจะขี่จักรยานออกไปในตอนเช้า และขี่กลับมาในตอนเย็น เป็นอยู่เช่นนี้หลายครั้งหลายคราด้วยกัน

แปดกิโลเมตรจากปากทางเข้าบ้านปากอิงมาถึงสวน ตามถนนเลียบแม่น้ำอันสวยงาม ฉันมักจะเลือกขี่รถจักรยานเข้าและออกในตอนเช้าและเย็น เพราะแสงแดดไม่ร้อนเกินไปนัก แต่บ่อยครั้งที่ฉันต้องขี่รถตากฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

แต่ละครั้งที่ขี่รถผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านที่นั่งทำงานหรือพูดคุยกันอยู่บนลานบ้าน พวกเขาจะหันมองดูฉันด้วย รอยยิ้ม ทุกครั้งฉันจะยิ้มให้พวกเขา ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา หรือพวกเด็กๆ ที่เล่นอยู่ข้างถนน บางครั้งฉันเอ่ยทักทายพวกเขา และบางครั้งฉันท้าแข่งกับเด็กที่กำลังขี่รถจักรยาน

ครั้งหนึ่ง ขณะฉันขี่รถผ่าน เด็กหญิงคนหนึ่งร้องเรียกให้พี่ชายออกมาดูฉัน –ฝรั่งมา ฝรั่งมา- เธอตะโกนเรียกพี่ชาย ฉันได้แต่มองดูเธอด้วยรอยยิ้ม

คงเช่นเดียวกับทุกครั้ง ขณะฉันขี่รถผ่านกลุ่มเด็กที่เล่นกันอยู่ตรงทางแยกเข้าบ้านปากอิง พวกเขามองดูฉัน ยิ้มทักทาย ฮัลโหล และพากันหัวเราะ พวกเขาคงคิดว่าฉันเป็นนักท่องเที่ยวผู้ชอบขี่จักรยาน หรือไม่ก็คงคิดว่าฉันเป็นนักขี่จักรยาน ในสายตาของพวกเขา ฉันอาจเป็นคนต่างชาติ เพราะหลายครั้ง ฉันพบว่าชาวบ้านมักทักทายฉันด้วยภาษาอังกฤษอยู่เสมอ

แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลยอย่างที่เขาคิด และคงไม่มีนักขี่จักรยานคนไหน เอาตะกร้าใบใหญ่ผูกไว้ท้ายรถเช่นนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะตะกร้าใบนี้ก็ได้ ที่ทำให้ฉันพบรอยยิ้มของผู้คน.

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๔

เสียงเรือหางยาว

ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเสียงนี้ ฉันมักสะดุ้งรำคาญหัวใจกับเสียงแผดลั่นของเรือหางยาว ดังขึ้นจากโค้งน้ำไกลและค่อยๆ ใกล้เข้ามา ก่อนค่อยๆ ลับหายไปอีกครั้งหนึ่ง

ดูเหมือนมันจะเป็นเสียงเดียวที่แปลกต่างไปจากภูมิประเทศอันเงียบสงบแห่งนี้ หมู่บ้านสองฟากฝั่ง เรือน้อยหาปลา หรือแม้แต่เรือโดยสารไปหลวงพระบาง ยังไม่ทำลายโสตประสาทมากเท่ากับเสียงเรือหางยาวเหล่านี้ เสียงของมันฉีกแหวกอากาศออกไปไกลลิบลับ ราวกับต้องการทำลายทุกสรรพเสียงที่มีอยู่ในโลก ลำเรือของมันฉีกตัดแม่น้ำออกเป็นช่อง ปล่อยคลื่นน้ำม้วนโตเข้ากระแทกสองฟากฝั่ง

หากทว่าเสียงของเรือหางยาวกลับพาฉันย้อนกลับไปสู่อดีต เสียงเครื่องเรือที่แผดก้องท้องน้ำอยู่ทุกเช้าเย็น จากโค้งคุ้งน้ำไกลมายังตลาดบ้านแพน เสียงที่ค่อยๆ จางหายไป แต่กลับเย้ายวนให้หวนหาอาลัย

หรือว่ามีแต่สิ่งที่เลือนหายไปเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์หวนหาอาลัย หรือว่าต้องรอให้ภาพอันงดงามเหล่านี้สูญหายไปเสียก่อน เราจึงตระหนักถึงความสำคัญ มิต่างกันเลย ไม่ว่าเกาะแก่งหรือแม่น้ำสายนี้

หรือต้องรอให้ทั้งหมดทั้งมวลสูญหายไปเสียก่อน.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๓

ท่าเรือ

วันนี้ท่าเรือแจมป๋องมีผู้คนคึกคักเป็นพิเศษ ต่างจากหลายครั้งก่อนที่ฉันเคยเห็น นั่นเป็นเพราะด่านผ่อนปรนชายแดนทำให้คนจากฟากตะวันออกของแม่น้ำข้ามมาหาซื้อข้าวของกันได้

มันเป็นวันว่างๆ ของเรา พี่อู๊ดชวนเราไปเที่ยวท่าเรือ บริเวณหน้าด่านมีแพอยู่หลายลำ เปิดเป็นร้านอาหาร ขายก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ลาบน้ำตก และพืชผักผลไม้ เราพากันเดินมาบริเวณศาลา ดวงตาหลายคู่เฝ้ามองการมาของเรา ถัดจากศาลามีคนมาตั้งเพิงขายเสื้อผ้าเก่า มีคนลาวเลือกซื้ออยู่สามสี่คน

เราเดินลงมาสั่งอาหารบนแพ และนั่งเล่นอยู่ริมแพ เอาขาแช่น้ำเย็นเยือก รายการอาหารของทุกร้านเขียนเป็นภาษาลาว ฉันพอจะอ่านออกและเดารายการอาหาร หลังจากกินอาหารเสร็จ เรากลับมานั่งเล่นอยู่ที่เดิม เรือจากฝั่งลาวหลายลำมาจอดรอซื้อของและรอรับผู้โดยสาร บางคนขึ้นมานั่งกินอาหาร บางคนนั่งรอเพื่อนร่วมทางอยู่บนแพ และอีกหลายคนจัดเตรียมสัมภาระอยู่ในเรือ ซึ่งบรรทุกของเพียบ กลางลำเรือมีแผงโค้งคุ้มฝนคุ้มแดด หมาสองตัวโผล่หน้าออกมาจากลำเรือ ผู้คนเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก เต็มด้วยสรรพเสียงและสีสัน

กลางแม่น้ำมีเรือไหลมองอยู่หลายลำ ฝั่งตรงข้ามเป็นหมู่บ้านทางฝั่งลาว เสียงเรือหางยาวดังลั่นมาจากโค้งน้ำ แล่นด้วยความเร็วปล่อยน้ำกระจายตีเกลียวคลื่นม้วนโตเข้าหาสองฟากฝั่ง เรือโดยสารเริ่มทยอยออกเดินทาง เมื่อผู้โดยสารมากันครบ พวกเขาขึ้นไปนั่งรวมกับข้าวของบนเรือจนปริ่มล้น เรือเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ หายลับไป พี่อู๊ดบอกว่า เรือพวกนี้ส่วนมากมาจากเมืองปากทาที่อยู่ทางตอนใต้ลงไป

แม่หญิงลาวคนหนึ่งเดินขนของมาลงเรือกับแม่ของนาง นางคงข้ามมาทำงานอยู่ทางฟากนี้ เมื่อชายชราถอยเรือเข้ามารับ ฉันช่วยจับกราบเรือไว้ให้นาง เมื่อนางและแม่นั่งเรียบร้อย เรือค่อยๆ ถอยออกห่าง ฉันเฝ้ามองใบหน้าสวยงามอย่างเรียบง่ายของแม่หญิง ความงามที่ไร้การปรุงแต่ง ใบหน้านั้นค่อยๆ ถอยห่างออกไป และห่างออกไป กลับไปสู่หมู่บ้านของนาง.

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๒

แสงหิ่งห้อยและเสียงร้องของอึ่งอ่าง


ความมืดเข้ามาเยือนอย่างเชื่องช้าเฉื่อยเนือย เช่นเดียวกับอากัปกิริยาของสายฝน พรมพรำอยู่เช่นนั้น อ้อยส้อยอยู่เช่นนั้น ไร้ท่าทีเบื่อหน่าย ท่ามกลางสรรพเสียงระเบ็งระบือไกล

ครั้นความมืดมาเยือน แสงวับแวมค่อยๆ ลอยคว้างขึ้นมาจากพรมหญ้า จากบริเวณสวนป่า แสงเรืองรอง วิบวับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า คว้างลอย อ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้น

แสงหิ่งห้อยมากมายวับแวมในความมืดของสายฝน เนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว ที่ฉันไม่ได้เห็นแสงเรืองรองเช่นนี้ โอ…กี่ปีมาแล้ว ที่ฉันหลงลืมแสงเรืองรองของหิ่งห้อย

สายฝนจางหายจากท้องฟ้าค่ำ สรรพเสียงยังระงมดัง แทรกอยู่ในเสียงแมลงแห่งพงไพร แทรกอยู่ในเสียงกบเขียด เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในท่ามกลางส่ำเสียง อึ่งง อ่างง อึ่งง อ่างง เสียงอึ่งอ่างค่อยๆ ดังขึ้นทีละเสียงสองเสียงจากในสวน

เสียงอึ่งอ่างร้องดังกังวานเมื่อฝนขาดสาย เสียงร้องของมันทำให้ฉันหวนนึกไปถึงวัยเด็ก อึ่งอ่างชอบร้องหลังสายฝนหยุดลง พวกมันเกาะกันอยู่ตามกอหญ้าข้างถนน ส่งเสียงร้องเรียกกันและกัน โอ…เนิ่นนานเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ได้ยินเสียงร้องของอึ่งอ่าง กี่ปีมาแล้วหนอ ที่ฉันหลงลืมเสียงนี้


บทเพลงในท่วงทำนองอันแปลกประหลาดประสานกันในค่ำคืนแห่งสายฝน ขับกล่อมจนฉันหลับใหล.

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๑

ภาคสาม : ฤดูฝน
บ้านสวนตำมิละ

ฤดูกาลแห่งสายฝนมาเยือนแล้ว ฉันปิดร้านกาแฟเป็นการชั่วคราวในฤดูกาลนี้ ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านสวนตำมิละ ตำบลแจมป๋อง อำเภอเวียงแก่น ภายหลังจากดูแลความฝันของเพื่อนมาหลายเดือน ฉันคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องดูแลปัดฝุ่นความฝันของตัวเองเสียที

สายฝนยังคงเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีของฉันเสมอ แม้ในวันที่ฉันย้ายเข้าไปอยู่ในสวน ฝนยังตกพรำไม่มีทีท่าจางหายเมื่อฉันออกจากเชียงของ ฉันขี่รถจักรยานมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านปากอิง ก่อนเลี้ยวเข้ามาทางอำเภอเวียงแก่น ลัดเลาะมาตามถนนเลียบแม่น้ำโขง ข้ามเนินเขาสองสามลูก ปล่อยให้รถไหลลงเนินสุดท้ายจนมาถึงบ้านสวนตำมิละ

อาทิตย์กับก้อย ขี่รถเครื่องตามมาส่ง เราช่วยกันทำความสะอาดบ้าน ฉันจัดเตรียมอาหารในครัว เมื่อท้องฟ้าเลือนสลัว เราล้อมวงนั่งกินข้าว จากนั้นทั้งสองคนจึงปล่อยฉันไว้แต่เพียงลำพัง

เสียงต่างๆ ระงมดังมาจากความมืดในสวน เสียงหรีดหริ่งเรไร เสียงกบเขียด เสียงหวีดแหลมของงู และเสียงที่ฉันไม่อาจแยกแยะได้อีกมากมาย แสงไฟกลางบ้านชักชวนหมู่แมลงเข้ามาเริงรำอย่างสนุกสนาน ขณะที่ตุ๊กแกคืบคลานเข้ามาเขมือบกินแมลงอย่างเงียบงัน

ฉันนั่งฟังเสียงต่างๆ ที่ดังอยู่รายรอบ เบื้องหลังสรรพเสียงเหล่านั้น มีความเงียบสงัดซ่อนอยู่ ฉันปรารถนาเก็บมันเข้ามาไว้ในใจ.

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๐

เรื่องของปลาใหญ่

เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นอีกครั้งริมฝั่งน้ำ ในยามบ่ายที่สายลมโชยพลิ้ว ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้คน ดวงตาเปล่งประกายสดใสใคร่รู้ คืนความมีชีวิตชีวาแก่ผู้คนริมฝั่งโขงอีกครั้ง

“ปลาบึกกลับมาแล้ว ปลาบึกกลับมาอีกแล้ว” ในยามบ่ายอันเงียบสงบ เสียงร้องตะโกนดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าราวคลื่นน้ำ จากท่าน้ำวัดหาดไคร้ ข่าวการกลับมาของปลาใหญ่แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว

“พวกเขาจับปลาบึกได้สองตัวแล้ว” เสียงบอกเล่า ปากต่อปาก ชาวเมืองชักชวนกันไปดูปลาใหญ่ นักท่องเที่ยวที่เผอิญพักอยู่ในเชียงของ ทั้งคนไทยและเทศต่างพากันมายังท่าน้ำ ชื่นชมปลาใหญ่ที่ถูกผูกมัดเอาไว้

“ปลาบึกกำลังจะตาย” เสียงเด็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้น หลายคนพูดถึงปลาใหญ่ด้วยความสงสาร นักข่าวหลายคนพยายามเก็บภาพบรรยากาศริมฝั่ง ผู้คนทยอยกันมามากมาย ต่างพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยรอยยิ้ม

“หลายวันก่อนเห็นนกนางนวลสามสี่ตัวบินผ่านมา” ใครคนหนึ่งออกความเห็น

“ปลาบึกสองตัวนี้ เป็นตัวผู้ ตัวเมียจะขึ้นตามมาทีหลัง” อีกคนหนึ่งพูดอย่างผู้รู้

“สามปีเต็มทีเดียว” ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดอย่างดีใจ

บ่ายวันนี้ เรื่องราวของปลาใหญ่แพร่สะพัดจากเมืองเล็กๆ ริมฝั่งน้ำ เข้าไปยังเมืองใหญ่ ผู้คนต่างพูดถึงปลาใหญ่ด้วยรอยยิ้ม.

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๙

นิ้วมือ

แสงเรืองรองของดวงตะวันริมขอบฟ้า ส่องสะท้อนบนแผ่นน้ำเอื่อยไหล ผ่านโขดหิน หาดดอน ต้นไม้ ต้นหญ้า ดอกไม้

มือน้อยๆ มือหนึ่ง เด็กน้อยๆ คนหนึ่ง นับนิ้วมืออย่างสงสัย

“นิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ นิ้วโป้ง เอ…แล้วทำไมนิ้วมือเราถึงต้องมีชื่อด้วยนะ”

ตำนานเรื่องเล่าของแม่น้ำโขง ยังถูกเล่าขานต่อกันมาตั้งแต่คนรุ่นปู่ย่าตาทวด หินแต่ละโขด ผาแต่ละผามีชื่อเรียก ผาหินบางแห่งมีตำนาน แก่งหินบางแห่งมีเรื่องเล่า มีความเชื่อ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตย์ เรื่องราวความเชื่อเหล่านี้ยังถูกเล่าขานต่อกันมา

นิ้วมือแต่ละนิ้ว มีชื่อเรียกที่แตกต่าง เช่นเดียวกับแก่งหินผาในแม่น้ำโขง เราบอกไม่ได้หรอกว่า นิ้วมือและหินผาไม่มีความสำคัญ เพราะหากไร้ซึ่งความสำคัญแล้ว เหตุใดสิ่งต่างๆ จึงมีชื่อให้เรียกขาน มีเรื่องเล่า มีความหมาย

“นิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ เอ… ถ้านิ้วโป้งหายไปจะเป็นยังไงนะ”

หากทว่า เมื่อเราตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่า นิ้วมือหายไปสักนิ้วหนึ่ง เราจะรู้สึกอย่างไร และหากทว่า เมื่อผู้คนลุ่มน้ำโขงตื่นเช้าขึ้นมาแล้วพบว่า เกาะแก่งหายไปสักแห่งหนึ่ง พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร? คงมิแตกต่างกัน

เรื่องเล่าถึงแม่น้ำโขงจะเป็นอย่างไร หากเกะแก่งหินผาถูกทำให้หายไป ถึงวันนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่คนใดจะกล้าเอ่ยเล่าให้ลูกหลานฟัง ถึงหินผากลางลำน้ำ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องราว ตำนานและความเชื่อมากมายสิงสถิตย์อยู่

ใครจะกล้าหาญเอ่ยเล่าถึงสิ่งที่ไม่มีอีกแล้ว.

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๘

นิทานริมฝั่งโขง

ผู้คนทยอยกันมาหนาแน่นเช่นเดียวกับความมืดแห่งค่ำคืน เฝ้ารอฟังนิทานริมฝั่งโขง รอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบสงัด เสียงจิ้งหรีดและกบเขียดระงมท้องทุ่ง หญิงชราหิ้วตะเกียงและกล่องใบใหญ่ขึ้นวางบนเรือ ก่อนจ้วงพายออกไปในค่ำคืนอันไม่สิ้นสุด ล่องมาตามแม่น้ำโขง

เสียงของเมือง เสียงของรถยนต์จากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่ง สู่ท้องถิ่นชนบท สู่เมืองริมแม่น้ำโขง ต้นไม้ใหญ่ แม่น้ำเริงเล่นหยอกล้อในเกลียวคลื่น หมู่ปลาว่ายแหวก คนหาปลา วิถีชีวิตอันเรียบง่าย ค่ำคืนมาเยือนอย่างรวดเร็ว ลูกไฟสีแดงของพญานาคผุดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับไม่หมดสิ้น

มนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้หญิง พญานาคกับพญาครุฑ หญิงชรากับเรื่องเล่า แสงและเงา การต่อสู้อันไม่จบสิ้น เริงเล่นอยู่บนฉากผ้าสีขาวขนาดใหญ่ เสียงแห่งการต่อสู้ดังสนั่นหวั่นไหว เสียงโอดครวญเจ็บปวด เสียงอ้อนวอนร้องขอในความเงียบงัน เสียงที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

การเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้ง จากเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง มุ่งสู่ถิ่นชนบท หายเข้าไปในเมืองใหญ่ เช่นเดียวกับผู้คนทั้งหลายถูกกลืนหายเข้าไปในเมืองใหญ่ การต่อสู้อันไม่จบสิ้นระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้หญิง พญานาคกับพญาครุฑ หญิงชรากับเรื่องเล่าที่กำลังเลือนหาย แสงและเงาท่ามกลางเสียงครวญครางอันเจ็บปวด การต่อสู้ยังดำเนินไปไม่จบสิ้น ท่ามกลางความเงียบงัน ท่ามกลางความมืดอันไพศาล.

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๗

ละครเงา

ความมืดโรยตัวอย่างอ้อยอิ่งโอบคลุมท้องฟ้าและสายน้ำกว้าง เด็กๆ ห้อมล้อมเข้ามาเฉกเช่นความมืด ส่งเสียงพูดคุยและหัวเราะ เด็กกลุ่มหนึ่งคือนักแสดง และเด็กอีกกลุ่มคือผู้ชม การแสดงละครหุ่นเงากำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

ท้องฟ้าสีนิลขับดวงดาวสีเงินให้สุกสกาว สายลมชื้นแห่งค่ำคืนโชยผ่านเล่นล้อกับผืนผ้าเล็กๆ พลิ้วไหว ทั้งห้าผืน เด็กนั่งห้อมล้อมเป็นวงกว้างหน้าผืนผ้าซึ่งถูกแปลงเป็นจอหนังอันสุกสว่างด้วยดวงไฟ รอบข้างมืดสนิท มีเพียงแสงเรืองวาวจากดวงตาตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็น

“บ้านหลังหนึ่งกำลังย่างปลาไว้ในเตา เจ้าแมวออกอุบายให้หมาเอาข่าย่างปลาออกจากเตา แล้วตัวเองกินปลาจนหมด พอเจ้าหมารู้ว่าแมวกินปลาจนหมด หมาจึงไปฟ้องเจ้านาย เจ้านายโกรธมากจึงไล่ตีแมว”

“ตายายคู่หนึ่งอยากมีลูก จึงไปบนบานสานกล่าวกับต้นไทรใหญ่เพื่อขอลูก ระหว่างทางกลับบ้าน ตายายได้พบเด็กชายคนหนึ่ง จึงพากลับมาเลี้ยงดู วันหนึ่งขณะที่ตายายพาเด็กชายไปหาปลา เด็กลงเล่นน้ำและกลับกลายร่างเป็นพญานาค ตายายรู้สึกเกรงกลัวจะไปพาชาวบ้านมา หลังจากนั้นจึงไม่มีใครพบเห็นพญานาคอีกเลย”

“มีแม่ลูกคู่หนึ่ง ลูกอยากได้ห่วงยางแต่แม่ไม่มีเงินซื้อให้ วันหนึ่งลูกออกไปเล่นน้ำและจมน้ำหายไป แล้วมีชายคนหนึ่งช่วยเด็กน้อยขึ้นมาจากน้ำ ก่อนดำน้ำหายไป แม่ดีใจมากที่เห็นลูกยังมีชีวิตอยู่”

“ในงานลอยกระทง มีการประกวดนางนพมาศ ขณะที่นางงามแต่ละคนนั่งกระทงล่องแม่น้ำโขงมาถึงบริเวณผาถ่าน กระทงเกิดพลิกคว่ำ นางงามสามคนขึ้นจากน้ำได้ แต่นางผมหอมจมน้ำหายไป ฝรั่งนักประดาน้ำจึงลงไปช่วยนางผมหอมขึ้นมา ทั้งสองเกิดรักกันและแต่งงานกัน”

“มีหญิงสาวสองคนเป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่ไปเที่ยวป่า และนัดกันว่าหากเกิดหลงทางให้ไปพบกันที่ภูเขาแห่งหนึ่ง ทั้งสองเดินเที่ยวป่าจนเพลินเข้าไปในป่าช้า และได้เจอผี ต่างจึงวิ่งหนีผีและเกิดพลัดหลงกัน คนหนึ่งไปถึงแม่น้ำ อีกคนไปพบกระต่ายป่า และต่างนึกถึงภูเขาแห่งที่นัดหมาย หญิงสาวทั้งสองจึงมาพบกันและพากันกลับบ้าน”

แต่ละเรื่องราวถูกเอ่ยเล่าขับขานผ่านเด็กน้อยทั้งห้ากลุ่ม แต่ละคนต่างช่วยกันเล่าเรื่องราวของตน แต่ละคนช่วยกันเชิดหุ่นกระดาษที่ช่วยกันประดิษฐ์ขึ้น เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับบรรดาเพื่อนๆ และผู้ที่นั่งชมอยู่ หน้าจออย่างใจจดใจจ่อ เฝ้ารอชมการเริงเล่นระหว่างแสงและเงา

จนทำให้ฉันอดคิดถึงค่ำคืนภายใต้แสงตะเกียงมิได้ ภายใต้แสงสลัวรางของตะเกียง หลายครั้งเราพบว่า เรื่องเล่าได้ถือกำเนิดจากเงาสลัวรอบเรืองแสงแห่งตะเกียง และเช่นเดียวกับพวกเราเด็กๆ นั่งอยู่ในวงแสงอันอบอุ่นนี้ มีรอยยิ้มบนดวงหน้าและแววตาฟุ้งฝัน ค่ำคืนนี้ก็ไม่แตกต่างกัน

เสียงตบมือดังกึกก้องพร้อมด้วยเสียงหัวเราะหยอกล้อ เมื่อแต่ละเรื่องเล่าจบลง กลุ่มผู้ชมต่างย้ายไปยัง หน้าจอผ้าที่มีแสงสลัวราง เรืองรองด้วยหุ่นเงาอันเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต.

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๖

นกนางนวล

ชาวบ้านบางคนบอกว่า ในฤดูกาลที่น้ำโขงใสจนมองเห็นกรวดหินใต้ธารน้ำ ไกเริงร่ายส่ายไหวราวเส้นไหมสีเขียว เด็กๆ ต่างเฝ้ามองดูเส้นขอบฟ้า เฝ้ารอฝูงนกนางนวลอยู่ริมฝั่งน้ำ สดับฟังเสียงร้องเรียกเพรียกหาจากขอบฟ้าไกล

ฝูงนกนางนวลมาตรงเวลาเสมอ ร่อนถลาเหนือเวิ้งน้ำกว้าง ส่งเสียงพร่ำเพรียกเรียกหาอยู่เช่นนั้น เสียงร้องของมันปลุกชาวเมืองให้ออกมาเฝ้ามองอย่างชื่นชม พวกเด็กๆ โห่ร้องอย่างดีใจ วิ่งลงมายังฝั่งน้ำ หรือเจ้านางนวลรู้ว่า ชาวเมืองเฝ้ารอคอยการมาเยือนของพวกมันอยู่ทุกปี

เพียงไม่นาน หลังจากการมาเยือนของฝูงนางนวล ฝูงปลาใหญ่แหวกว่ายทวนน้ำขึ้นมาตามเสียงเพรียกร้องของฝูงนก เริงเล่นน้ำอยู่ตามหาดหินอันนุ่มนวลด้วยแพรไหมสีเขียว ป่วนปั่นผืนน้ำจนแตกซ่านกระเซ็น

หลายปีมาแล้ว ชาวเมืองต่างรอคอยวันคืนของอดีต เพื่อย้อนทวนความทรงจำ เด็กๆ เฝ้ามองดูเส้นขอบฟ้าอยู่ริมฝั่งน้ำ ไม่มีวี่แววของฝูงนกนางนวล ไม่มีวี่แววของฝูงปลาใหญ่

พิธีบวงสรวงปลาใหญ่เริ่มขึ้นอย่างเงียบเหงาหัวใจ หลงเหลือเพียงตำนานขานเล่าถึงฝูงนกนางนวลและฝูงปลาใหญ่ หรือจะเป็นเพียงแค่คำบอกเล่าถึงเรื่องราวที่กำลังเลือนหาย.

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550

แนะนำหนังสือ



แนะนำหนังสือ
รวมเรื่อง (โคตร) สั้น “ภาพร่างของความหลับ”
คุณชอบอ่านหนังสือประเภทไหน? เบาบางอย่างไร้สาระ หวานปนเศร้าอย่างงานเกาหลี หรืองานประเภท “ทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนทุบหัว” อย่างที่นักเขียนชาวเยอรมัน นาม ฟรันซ์ คาฟกา กล่าว ถ้าหากตัวเลือกของคุณเป็นอย่างที่คาฟกากล่าวแล้วละก็หนังสือ “ภาพร่างของความหลับ” ผลงานเล่มแรกของนักเขียนหนุ่ม “สุขพงศ์ คหวงศ์อนันต์ “ ก็ไม่น่าทำให้คุณพลาดได้
“ภาพร่างของความหลับ” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 62 เรื่อง ที่จะพาคุณเปิดโลกทัศน์ ความคิดและมุมมองใหม่ๆ อย่างที่ไม่มีอ้างอิงและไม่สามารถอ้างอิงได้จากในตำราที่คุณเรียนมา
ฉะนั้น... อย่าหวาดกลัวถ้าหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนโดนทุบหัว... อย่างแรง!

“ภาพร่างของความหลับ” สุขพงศ์ คหวงศ์อนันต์ : เขียน I สำนักพิมพ์ง่ายงาม : พิมพ์ครั้งแรก
จำนวน 192 หน้า ขนาดพ๊อกเก็ตบุ๊ค ปก 4 สี กระดาษปก ปอนด์วาดเขียน 100 แกรม
ราคา 150 บาท I สายส่งศึกษิต 022-259-536-40 I สั่งซื้อโดยตรง :
http://us.f385.mail.yahoo.com/ym/Compose?To=ngaingam_art@lycos.com หรือติดต่อ 087-778055

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๕

พิธีบวงสรวง

ยามเช้าถือกำเนิดที่ริมขอบฟ้า เอิบอาบแผ่นดินโลกให้อบอุ่น สดกระจ่างด้วยแสงแดดร้อนแรง

เครื่องเซ่นไหว้บวงสรวงตระเตรียมไว้พร้อมเสร็จสรรพ ทั้งดอกไม้ธูปเทียน น้ำส้มป่อย ไก่ หัวหมู อาหารคาวหวาน และเหล้าพื้นเมือง

ชาวบ้านช่วยกันถือเครื่องบวงสรวงจากศาลาท่าเรือวัดหลวง เดินลงเนินขึ้นไปยังผาถ่าน ศาลเจ้าพ่อตั้งเด่นสง่าสะท้อนประกายแดด ผาถ่านเต็มไปด้วยตะปุ่มตะป่ำของหินสีดำ มองดูราวกับภูเขาถ่านขนาดใหญ่ ชาวบ้านจัดวางเครื่องบวงสรวง พิธีกรรมเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านต่างจุดธูปขอพรให้เจ้าพ่อปกปักรักษาแม่น้ำโขง

วงสะล้อขับกล่อมบรรเลงบทเพลงล้านนาเพิ่มเติมสีสัน ในขณะที่เรื่องเก่าเล่าขานถูกเผยผ่านริมฝีปากจากที่นั่นที่นี่ บางว่าปู่ละหึ่งผู้เป็นบรรพบุรุษของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำ ได้คอนถ่านใส่กระบุงไปขายทางทิศเหนือ เนื่องจากถ่านหนักมากจึงทำให้ไม้คานหัก ถ่านตกเกลื่อนกระจายริมฝั่งน้ำจนเกิดเป็นเกาะแก่งหินผามากมายในแม่น้ำ และผาถ่านโขดนี้เป็นถ่านก้อนหนึ่งที่ปู่ละหึ่งได้ทำตกไว้

บางคนได้เล่าว่า ใต้ผาถ่านแห่งนี้มีถ้ำของพญานาคอยู่ ครั้งหนึ่งมีประกวดนางนพมาศ มีการแห่นางงามทางเรือผ่านผาถ่าน เรือเกิดล่ม นางงามคนหนึ่งจมหายไป จากนั้นมีชาวบ้านมาพบนางงามคนนี้ในวังน้ำบริเวณผาถ่าน ทุกคนเชื่อว่าพญานาคได้ช่วยนางไว้

อีกบางคนเล่าว่า สมัยก่อนนั้น บริเวณแถบนี้เคยเป็นแดนประหารนักโทษของเมืองโบราณ

ทุกเรื่องราวถูกกล่าวขานถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่ง สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ตราบที่ผู้คนยังเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่ยัง ฝังลึกในหัวใจของทุกคน เรื่องเล่าจะยังคงอยู่เช่นเดียวกับความเชื่อและศรัทธา.

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๔

วันปีใหม่

บ่ายวันนี้ พวกเราชักชวนกันมาเล่นน้ำหน้าบ้านพี่ดา มีน้องน้ำหวาน น้องมิ้น ลูกสาวสองคนของพี่ผึ้ง มีกิ๊บหลานพี่ดา แป้ง อาทิตย์ และฉันซึ่งดูเหมือนจะเป็นเด็กโข่งที่สุดในกลุ่ม

อาวุธของพวกเราพร้อมแล้ว ถังและกะละมังใส่น้ำ ขันและกระป๋องใบเล็กๆ รถกระบะวิ่งผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา ท้ายรถกระบะแต่ละคันเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มเด็กสาว ทุกคนมีอาวุธพร้อมอยู่ในมือสำหรับสาดความชุ่มเย็นให้แก่กัน

เมื่อรถแต่ละคันวิ่งผ่าน ฉันจะออกไปยืนโบกรถให้ชะลอจอดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพวกเราจึงสาดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน บางครั้งมีรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมา เราจะโบกให้จอด และรถน้ำบนหัวไหล่ของพวกเขา หากรถคันไหนวิ่งมาเร็วๆ เราจะเอามือวักเม็ดน้ำสาดพอเป็นพิธี บางครั้ง เราจะวิ่งข้ามถนนไปเล่นน้ำกับเด็กๆ สี่ห้าคนกับหญิงสาวคนหนึ่ง เราต่างสาดน้ำกันเองอย่างสนุกสนาน

บางครั้งมีผู้เฒ่าผู้แก่เดินผ่านมา เราจะเข้าไปขอรดน้ำ ผู้เฒ่าผู้แก่จะเอ่ยให้พรแก่พวกเรา เช่นเดียวกับชาวต่างประเทศที่เดินผ่านไปมา เราจะเข้าไปขอรดน้ำอย่างสุภาพ พวกเขาจะยิ้มให้ พวกเขาคงนึกอยากเล่นน้ำกับพวกเราด้วย

เราเล่นน้ำกันจนถึงเย็น บางทีเราเล่นน้ำกับเด็กๆ ที่รู้จัก ซึ่งออกมาตั้งด่านกันบนถนน สาดน้ำกันและกัน หยอกล้อและหัวเราะ

ช่วงเย็นมีขบวนแห่พระพุทธรูปของแต่ละวัดในหมู่บ้านผ่านมาตามถนนสายกลาง พวกเรามายืนรอสรงน้ำพระอยู่ริมถนน ขอน้ำหยาดจากผู้เฒ่าผู้แก่ และรดน้ำผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมกับขอพรปีใหม่

ค่ำคืนมาเยือนอย่างเชื่องช้า แสงสว่างค่อยๆ เลือนหายไปจากท้องฟ้า ความมืดมาเยือนอย่างเงียบงัน วันปีใหม่กำลังจะหมดลงแล้ว ขณะที่เสียงสรวลเสเฮฮายังดังอยู่ทั่วทั้งหมู่บ้าน.

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๓

เรือแข่ง

เทศกาลรื่นเริงแห่งฤดูร้อนกำลังจะมาถึง บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงจึงคราคร่ำไปด้วยเด็กๆ ที่มาเล่นน้ำ ผู้คนที่มาดูการซ้อมแข่งเรือที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

เสียงผู้คนเอะอะกันอยู่ริมท่าน้ำ บรรดาฝีพายของแต่ละหมู่บ้าน พาเรือพายทวนเลียบฝั่งแม่น้ำขึ้นไปยังท่าเรือสินค้า และจ้ำพายล่องกลับไปยังผาถ่าน เสียงเป่านกหวีดดังให้จังหวะ เสียงร้องออกแรงดังจากลำคอ เสียงน้ำแตกกระจายเมื่อใบพายถูกจ้วงลึกอย่างพร้อมเพรียง เรือเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้คนบนฝั่งส่งเสียงเอาใจช่วย

ทุกๆ เย็น ฝีพายของแต่ละหมู่บ้านจะมารวมกันอยู่ริมฝั่งน้ำ เพื่อฝึกซ้อมความพร้อมเพรียงของฝีพาย ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งเรือขนาดสิบฝีพาย และยี่สิบห้าฝีพาย โดยมีเรือของหมู่บ้านขับตามคอยช่วยเหลือระวังภัยอยู่ตลอดเวลา

นักกีฬาทุกคนเฝ้าฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน รอคอยการแข่งขันที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า.

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๒

แม่น้ำฤดูร้อน

ยามบ่ายคล้อย ท้องฟ้าสดกระจ่าง ลมนิ่งสงบ แม่น้ำไหลเอื่อย เสียงของเด็กๆ ดังขึ้นจากที่ใดที่หนึ่ง ใกล้เข้ามาและเงียบหาย

อย่างเงียบงัน เด็กชายคนหนึ่งนั่งบนราวบันไดเหล็ก แล้วปล่อยตัวลื่นไถลลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย เขากระโดดลงและยืนยิ้ม มองดูเพื่อนๆ ที่กำลังปล่อยตัวเองลื่นไถลลงมา เสียงของพวกเขาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พากันเดินข้ามถนนไปยืนมองดูระดับน้ำที่สูงมากขึ้นจากวันวาน พวกเขาเดินเข้ามาซื้อขนมคนละห่อสองห่อ จากนั้นจึงวิ่งลงจากบันไดไปยังริมฝั่งน้ำ เสียงพูดคุยของพวกเขา เสียงหัวเราะของพวกเขา เขย่าให้สายลมเคลื่อนไหวอีกครั้ง

เด็กๆ มาเล่นน้ำกันทุกวัน ตั้งแต่บ่ายจวบจนเย็นย่ำ เสียงเริงเล่นอย่างสนุกสนานของพวกเขา เรียกร้องให้เด็กๆ ในหมู่บ้านออกมารวมตัวอยู่ริมฝั่งน้ำ จากสามสี่คนเพิ่มขึ้นเป็นสิบ ยี่สิบคน จนเต็มร่องน้ำที่อยู่ระหว่างชายฝั่งกับสันดอน ตั้งแต่เด็กเล็กๆ สามสี่ขวบที่มากับพ่อแม่ จนถึงเด็กอายุสิบห้าสิบหก พวกเขามากระโดด ว่ายน้ำ ดำน้ำ สาดเม็ดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน บางคนมาเล่นกองทรายริมฝั่ง บางคนมาอาบน้ำ สระผมและถูสบู่ พวกผู้ใหญ่บางคนลงไปเล่นน้ำกับเด็กๆ เสียงหัวเราะของพวกเขาดังสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างสองฟากฝั่งราวกับคลื่นน้ำ

แม่น้ำในฤดูร้อนเช่นนี้ ในยามบ่ายอันร้อนอ้าวเช่นนี้ เด็กๆ ตามหมู่บ้านต่างๆ จะลงมาเล่นน้ำยังท่าน้ำในหมู่บ้านของตน ตั้งแต่ท่าเรือ ท่าตำมิละ ท่าวัดหลวง ท่าวัดชัย ท่าวัดหาดไคร้ มิแตกต่างจากหมู่บ้านริมฝั่งทางฟากตะวันออกของแม่น้ำ

แม่น้ำแห่งฤดูร้อนจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเริงร่าของเด็กๆ.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๘

ถนนสายกลาง


สี่โมงเย็นของวันเสาร์ เรามีนัดพบกันบนถนนสายกลาง


นอกจากตลาดนัดวันศุกร์แล้ว เย็นวันเสาร์ในเชียงของยังเป็นวันที่คึกคักและมีชีวิตชีวาอีกวันหนึ่ง เพราะชาวบ้านในหมู่บ้านจะพากันออกมาปูเสื่อปูผ้านั่งขายของ จำพวกพืชผักผลไม้ที่ปลูกอยู่ตามบ้าน หรือเข้าไปเก็บตามสวนตามป่า สินค้าหลากหลายชนิดและหลากหลายสีสันมีให้เลือกซื้ออยู่มากมายเหลือเกิน


นอกจากพืชผักผลไม้แล้ว ยังมีชาวบ้านออกมาขายขนมและอาหารหลากชนิดแตกต่างจากวันธรรมดา ร้านขายข้าวซอยที่อยู่หน้าธนาคาร ร้านขายขนมพื้นบ้าน ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายของจิปาถะ ร้านขายเสื้อผ้าและแผงหนังสือเล็กๆ ต่างออกมาตั้งวางสินค้าขายอยู่บนถนนสายกลาง ชักชวนให้ผู้คนในหมู่บ้านออกมาเดินเลือกซื้อของ ชักชวนให้นักท่องเที่ยวออกมาเดินเล่น สัมผัสบรรยากาศอันแสนจะเรียบง่าย


ทุกเย็นวันเสาร์ เรามีนัดกันบนถนนสายกลาง.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๑

สายฝนพรำ

ยามบ่ายร้อนอบอ้าว หมู่เมฆก่อตัวที่ริมขอบฟ้าตะวันตก เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเงียบงันแผ่คลุมห้วงฟ้า สรรพสิ่งรายรอบเริ่มเคลื่อนไหว เคลื่อนไหว และเคลื่อนไหว ลมหมุนหอบใบไม้ควงคว้างออกไปกลางแม่น้ำ เสียงใบไม้พัดพลิ้วเกรียวกราว ยอดไผ่เอนไหวลู่ลม ฝักเสี้ยวดีดดิ้นทิ้งตัว ก่อนทั้งหมดทั้งมวลจะสงบนิ่งลง

สรรพสิ่งสงบนิ่งและเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ใบไม้ใบหญ้าพัดลู่ตามลม ลมหมุนหอบฝุ่นลอยคลุ้งกลางอากาศ แม่น้ำพลิกเพื่อมรวดเร็ว แรงสั่นสะเทือนเริ่มต้นขึ้นจากที่ใดที่หนึ่งของห้วงฟ้า เสียงนับหมื่นนับแสนดังมาแต่ไกล ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ม่านแห่งสายฝนกรายใกล้เข้ามา เสียงเกรียวกรูซู่ซ่าดังใกล้เข้ามาพร้อมกับไอเย็นชื้น หยดหยาดอันเยียบเย็นกระเซ็นสายลงมาจากท้องฟ้า เปียกปอน

พายุฝนก่อตัวขึ้นในหน้าร้อน ให้ความชุ่มชื่นแก่ต้นไม้และผืนดิน ใบไม้เริ่มผลิแตกตุ่มตาสีเขียวเล็กๆ พร้อมที่จะระบัดใบสวยงาม เมล็ดพืชพันธุ์ที่หลับนอนอยู่ใต้ผืนดินเมื่อฤดูหนาวเริ่มอ่อนนุ่ม พร้อมที่จะตื่นอย่างเกียจคร้านออกมาสู่โลกภายนอก รอคอยฤดูกาลใหม่ที่จะมาเยือนในไม่ช้า.

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒๐

เสียงแห่งฤดูร้อน

ทันทีที่สายลมเหนือแผ่วเบาลง หมู่เมฆแปรเปลี่ยนรูปร่าง กลางวันยาวนานมากขึ้น ฉันจึงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของวันนี้ แปลกต่างไปจากวันวาน

สายลมแห่งฤดูร้อนหอบเอาละอองขี้เถ้าจากการเผาไร่ลอยฟุ้งในอากาศ ใบไม้ปลิดคว้างอย่างเหนื่อยล้า ดอกไผ่คลี่กระจายเต็มลาน ฝักของต้นเสี้ยวดีดเมล็ดเสียงดังเป๊ะป๊ะ ทิ้งตัวลงบนพื้นปูน เสียงกังวานแว่วของจั๊กจั่น กรีดปีกดังมาจากที่นั่นที่นี่ ส่งสรรพสำเนียงประสานเป็นบทเพลงแห่งฤดูร้อน

หรือว่าฤดูร้อนได้เริ่มขึ้นแล้ว ฉันนึกสงสัย เฝ้าฟังกังวานเสียงแห่งฤดูร้อนแว่วดังมาแต่ไกล เสียงหัวเราะร่าเริงของเด็กๆ เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่ง เสียงเครื่องยนต์ครางมาจากท่าเรือ สรรพเสียงกังวานขึ้นพร้อมเพรียงในวันเริ่มต้นของฤดูร้อน.

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๙

ภาคสอง : ฤดูร้อน

แก้วกาแฟว่างเปล่า

ยามเย็นทอแสงอ่อนโยนเหนือแผ่นน้ำ เสียงเด็กๆ เริงเล่นน้ำอยู่ริมฝั่งอย่างสนุกสนาน ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ผู้ใหญ่ลงมานั่งเฝ้าละอ่อนน้อย พ่อแม่มาเล่นน้ำกับลูก สายสัมพันธ์ของชุมชน หลอมรวมกันริมฝั่งแม่น้ำ

วันแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจริง จากเช้าจวบบ่ายและเย็นย่ำ ในสายลมฉ่ำชื้นของต้นฤดูร้อน ร้านกาแฟวันนี้มิแตกต่างจากวันวาน แก้วกาแฟยังว่างร้าง แก้วกาแฟแต่ละสี แต่ละขนาด แต่ละลวดลาย คว่ำอยู่บนชั้นไม้ รอคอยผู้มาลิ้มอมฤตสีดำรสเข้มข้น จากแก้วกาแฟสวยงาม

มิแตกต่างจากวันวาน ยามเย็นมาเยือนพร้อมด้วยเสียงเริงร่าของเด็กเล่นน้ำ ค่ำคืนโรยแสงสีหม่นคล้ำ แก้วกาแฟบนชั้นไม้ ยังเฝ้ารอคอยด้วยความหวังอันว่างเปล่า.

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๗

ศิลปินอ้วน

ฉันรู้จักศิลปินคนหนึ่ง ฉันขอเรียกเขาว่าศิลปินอ้วน คงไม่ผิดนักที่ฉันจะเรียกเขาเช่นนี้ เพราะร่างอันใหญ่โตด้วยไขมันของเขานั่งเอง และที่สำคัญ เขามีอารมณ์ดีอยู่เสมอ

ศิลปินอ้วนชอบมานั่งวาดรูปอยู่หน้าร้านกาแฟเกือบทุกวัน บางวันเขาจะมาตอนเช้า บางวันเขาจะมาตอนบ่าย บางวันเขามานั่งอ่านหนังสือ และหลับคาหนังสือ บางวันเขามานั่งดื่มกาแฟ และหลับคาถ้วยกาแฟ บางวันเขามานั่งเฉยๆ ไม่มีอารมณ์วาดรูป และหลายครั้งเขาจริงจังกับการวาดรูปมาก เขาชอบใช้พู่กันละเลงสีอย่างรวดเร็ว ด้วยอารมณ์อันบรรเจิด จากผ้าใบสีขาว แต่งแต้มด้วยสีสันกลับกลายเป็นรูปร่างสวยงาม

ภาพบางภาพของเขาดูไม่รู้เรื่อง แต่บางภาพของเขาง่ายและสื่ออารมณ์ได้ชัดเจน อีกบางภาพของเขา เต็มไปด้วยทีแปรงหมุนวนไปวนมาด้วยสีอันหลากหลาย ราวกับว่าเขายังหาทางออกให้กับความคิดตัวเองไม่ได้ ขณะที่บางภาพมีความสดใสของเด็กๆ

เขาสอนให้ฉันหัดวาดรูป เริ่มจากภาพนิ่ง ถ้วยกาแฟ แจกัน และสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในร้าน แต่ฉันมักจะวาดอะไรผิดเพี้ยนไปจากแบบเสมอ เส้นสายแข็งกระด้างไม่น่าดู ฉันหัดเขียนภาพแล้วภาพเล่า แล้วเอามาให้เขาวิจารณ์ เขาจะตำหนิ เอ่ยชมและให้กำลังใจอยู่เสมอ

ฉันว่าเขาเป็นคนที่น่าอิจฉา ฉันรู้สึกอิจฉาเขา เพราะเขาเป็นศิลปินอ้วน อารมณ์ดี และหลับง่าย.

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๖

ตลาดนัดวันศุกร์

ชีวิตคนเรามักจะเริ่มต้นในตอนเช้า พร้อมเสียงไก่ขันเจื้อยแจ้ว ในบรรยากาศสดใส ด้วยหัวใจอันสดชื่นรื่นรมย์

ดวงอาทิตย์มาเยือนอย่างช้าเชือน เสียงระฆังกังวานจากโบสถ์ เสียงนกร้องเริงร่า พระเดินบิณฑบาตไปตามบ้าน ร่างค้อมด้วยศรัทธาคารวะ ข้าวและอาหาร เสียงสวดคำพร ดังขึ้นและเลือนหาย

ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ ทยอยกันเข้ามาในตัวอำเภอ เพราะวันนี้มีตลาดนัดวันศุกร์ หลายคนจึงถือโอกาสมาธุระในอำเภอและซื้อข้าวของจำเป็นกลับไปยังบ้าน ผู้คนมากมายมายังตลาดนัด หลากหลายภาษาและเผ่าพันธุ์ หลากหลายเสื้อผ้าและการแต่งกาย แต่ยังมีภาษาหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเข้าใจกันและกัน มันปรากฏอยู่ในแววตา สีหน้าและรอยยิ้ม

เช่นเดียวกับผู้คนทางฟากฝั่งลาว หลังจากด่านเปิด พ่อค้าแม่ขายจากประเทศลาวข้ามมาซื้อสินค้าเพื่อเอากลับไปขาย เด็กหนุ่มเด็กสาวบางคนถือโอกาสข้ามมาเที่ยวประเทศไทย และเดินหาซื้อของในตลาดเอากลับไปใช้ในชีวิตประจำวัน

วันศุกร์เริ่มต้นด้วยความสดใสมีชีวิตชีวาของตลาด ผู้คนทักทายพูดคุย ยิ้มแย้มแจ่มใส พวกเขามารวมกันเพื่อทำให้วันนี้เสร็จสมบูรณ์ ก่อนแยกย้ายกลับไปบ้านเรือนของตน

ใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่ขายขาย ใครใคร่ซื้อเลือกซื้อตามสบาย ตลาดนัดเริ่มวายแล้ว เมื่อยามบ่ายมาเยือน ร้านค้าทยอยหายไปทีละร้านสองร้าน หลงเหลือเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ด้วยสัญญามั่นว่า วันศุกร์หน้าเราจะมาพบกัน.

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๕

ดอกงิ้วบาน

ปีใหม่ผ่านเข้ามาอีกหน ลมหนาวยิ่งหนาวเหน็บ ภาพแม่น้ำเลือนรางอยู่ในม่านหมอกขาวโพลน แสงแดดเอื้อไออบอุ่นให้แก่ยามเช้า อบอุ่นนุ่มนวลด้วยแสงแห่งรัก

ฉันนั่งรถคาริเบี้ยนสีเขียวมาตามถนนเลียบแม่น้ำโขง ธรรมชาติเผยความงดงามของโขดเขา ภาพแม่น้ำหลากไหล เกาะแก่งมะหินมะผา ท้องฟ้า และเมฆหมอก ใบไม้แปรเปลี่ยนสีสันแกว่งไกวในสายลมหนาว ดอกหญ้าเปล่งประกายตลอดสองข้างทาง ดอกไม้ป่าต่างอวดรูปโฉมโนมพรรณและสีสันงดงาม

เฉกเช่นต้นงิ้วริมฝั่งแม่น้ำโขง พวกหล่อนพยายามสลัดใบของตนให้หล่นร่วง เพื่อผลิสะพรั่งงดงามด้วยดอกดวงสีแสดแดงดั่งตะวันยามอรุณ แย้มบานสว่างไสวราวกับดอกดวงตะวันเล็กๆ นับพันนับหมื่นดวงมาอยู่รวมกัน เอื้อแสงให้ผู้ได้ยลรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

ดอกงิ้วแย้มบานแล้วในเช้าวันนี้ หลังการรอคอยเนิ่นนาน เฉกเช่นการรอคอยการมาเยือนของดวงตะวันยามเช้า ดวงดอกสีแดงเรื่อเรืองสว่างไสว ล้อแสงวิบวับกับประกายของสายน้ำ หยอกล้ออยู่เช่นนี้ ราวกับไม่มีวันเหือดหาย ดวงดอกแห่งตะวันมิอาจลับขอบฟ้าแม้ค่ำคืนจะมาเยือน แย้มบานอยู่เช่นนี้ สว่างไสวอยู่เช่นนี้ เรื่อเรืองอยู่เช่นนี้ ให้ดวงใจอบอุ่นแม้ในค่ำคืนอันหนาวเย็น

ดวงตะวัน
บานยามค่ำคืน
ที่ริมโขง.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๔

ลมพัดยอดไผ่

สายลมหนาวพัดโชยเข้ามาอีกระลอกในเช้าวันใหม่ ลมหนาวเดินทางไกลมาจากแผ่นดินใหญ่ทางเหนือ พาดผ่านแผ่นดินที่ราบสูงและหุบเขา เข้าสู่ดินแดนทางตอนล่างติดริมฝั่งทะเล

เสียงหวีดหวิวครวญครางปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาจากความฝัน ฉันเฝ้าฟังเสียงสายลมหนาวหยอกล้อยอดไผ่ภายนอก กระชับผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน เสียงที่ได้ยินทำให้ฉันนึกถึงภาพยอดไผ่ไหวเอนลู่ลมไปมาราวจะเริงรำ ปลิดปลิวใบไผ่ให้หมุนคว้างตามลม เสียงซู่ซ่าเสียดสีของลำไผ่ราวกำลังกรีดกรายอยู่ไปมา ดังเริงร่ายแห่งหญิงสาวในงานราตรีสโมสร

เสียงลมพัดยอดไผ่ทำให้ฉันลุกออกจากที่นอน ยามนี้ควรจะเป็นเวลาแห่งความมีชีวิตชีวามิใช่หรือ ฉันควรจะลุกขึ้นและออกไปเริ่มต้นวันใหม่มากกว่ามัวนอนจมความเกียจคร้านอยู่เช่นนี้
และจากนั้นชีวิตของฉันจึงเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับการเริงร่ายของยอดไผ่ลู่ลม.

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2550

ดอกไม้เล็กๆ บนถนนสายนั้น

หยดหนึ่งมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล


ดอกไม้เล็กๆ บนถนนสายนั้น

ถนนที่มืดมิดค่อยๆ สว่างเรืองขึ้นด้วยแสงแห่งยามเช้า พระเดินแถวเนิบช้า รับบาตรตามบ้านเรือนอันเงียบสงบ ชายผ้าเหลืองพลิ้วไหวล้อลมหนาวแผ่วจางก่อนลับหายไปยังถนนสายหลัก ที่ซึ่งมวลดอกไม้แย้มบานขึ้นมาได้ชั่วเพียงข้ามคืน...

วันวาน... ฉันเห็นมนุษย์นำพวกเธอมาประดับประดาอยู่ตามเกาะกลางถนน จัดตกแต่งเป็นสวนดอกไม้งามท่ามกลางความร้อนและฝุ่นควัน แต่พวกเธอก็ไม่เคยปริปากบ่น อาจเป็นเพราะพวกเธอเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลหรืออาจกำลังพักผ่อน กลีบใบของพวกเธอม้วนงอ ดวงดอกของพวกเธอสลดแดด เหี่ยวเฉา กระทั่งเย็นย่ำ มนุษย์จึงพากันจากไป ปล่อยทิ้งพวกเธอไว้ท่ามกลางความโดดเดี่ยว แม้พวกเธอจะมีอยู่อย่างมากมายเกินไปก็ตาม หากฉันรู้สึกว่าพวกเธอกำลังโดดเดี่ยวอย่างที่สุดในชีวิต

หลังผ่านค่ำคืนอันยาวนานและสายน้ำชุ่มฉ่ำที่มนุษย์นำมาราดรด พวกเธอค่อยๆ ตื่นฟื้น แย้มบานสดใส พูดคุยหยอกล้อเฝ้าชื่นชมกันและกัน อวดโฉมว่าตนเด่นเป็นสง่าที่สุดในงานเฉลิมฉลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น ฉันมองเห็นเธอเด่นชัดก็ในยามนี้ พวกเธอเฉิดฉายอยู่ในชุดหลากสีสันละลานตา มีทั้งเยอร์บีร่า อลิสซั่ม เดซี่ ผกากรอง ดาวเรือง ตาเสือ ผีเสื้อ สร้อยไก่ พวกเธอล้วนสดสวยและง่ามสง่าเหลือเกิน

แดดสาย... มนุษย์มากมายเริ่มทบทยอยกันมาบนท้องถนน เสียงดนตรีมโหรีดังกระหึ่ม เป็นสัญญาณการเริ่มต้นของงานเฉลิมฉลองประจำปี เสียงชื่นชมความงามของพวกเธอดังอยู่มิได้ขาด มนุษย์ต่างพากันถ่ายรูปคู่กับพวกเธอ เพื่อเป็นสักขีพยานในความงดงาม และเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ

หลายวันต่อมา ถนนกลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม การสัญจรกลับคืนสู่ภาวะปกติ ขณะดวงดอกของฉันตูมเต่งและพร้อมจะเบ่งบานอยู่ในกระถางริมทาง ครั้นเหลือบมองไปยังมวลดอกไม้บนถนนสายหลัก พวกเธอกำลังเหี่ยวเฉาโรยรา ดูพวกเธอโดดเดี่ยวยิ่งกว่าวันแรกที่มาถึง เพราะหลังจากงานเฉลิมฉลองเสร็จสิ้น แทบไม่มีใครมาคอยใส่ใจดูแลพวกเธออีกเลย มนุษย์ลืมแม้กระทั่งการรดน้ำให้กับพวกเธอ ต่างจากหญิงสาวผมยาวที่มารดน้ำให้ฉันทุกๆ เช้า เธอเฝ้าดูแลฉันเป็นอย่างดีเสมอมา

มันทำให้ฉันนึกถึงถ้อยคำของแม่ แม่ชอบเล่าถึงงานเฉลิมฉลอง เล่าถึงดอกไม้มากมายถูกนำมาตกแต่งประดับประดาอยู่ตามถนนหนทาง แต่สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้เหี่ยวแห้งเฉาตายไปโดยไม่ได้รับการเหลียวแล นั่นอาจเป็นเพราะพวกเธอมิได้มีความสัมพันธ์ใดใดกับสถานที่แห่งนี้ ไม่มีความผูกพันใดใดแม้แต่กับพวกมนุษย์ที่นำเธอมา

ต่างจากดอกใบของฉันที่มีค่าควรแก่การชื่นชม การมีอยู่ของฉันจึงมีความหมายสำหรับหญิงสาวผมยาว เช่นเดียวกับที่เธอมีความหมายสำหรับฉัน นั่นเป็นเพราะความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เธอจึงเป็นหญิงสาวผมยาวเพียงคนเดียวในโลกของฉัน*

เย็นย่ำลงแล้ว พวกมนุษย์กำลังนำพาพวกเธอจากไป มวลดอกไม้ที่เคยงดงาม และในวันพรุ่งนี้เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันรู้ดีว่าพวกเธอคงพากันจากไปหมดแล้ว กลับไปสู่ความโดดเดี่ยวอันมืดมิดหนาวเย็น ขณะที่ดวงดอกของฉันคงจะแย้มบานในแสงแรกด้วยรอยยิ้มแห่งปีติ รอคอยการมาถึงของหญิงสาวผมยาวคนนั้น

* ดาลใจจากดอกกุหลาบของเจ้าชายน้อย, อังตวน เดอ แซงเต็ก ซูเปรี
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับคัมภีร์ไบเบิล สอนโลกให้รู้วิธีที่จะรัก กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๕๐

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550

การเดินทางสามบรรทัด

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมเดินทางไปงานแต่งงานของเพื่อนที่อำภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมจึงถือโอกาสแวะที่อำเภอไชยา เพื่อเยี่ยมชมตลาด และโบราณสถานในละแวกใกล้เคียง ทั้งไม่ลืมไปเยี่ยมเยือนสวนโมกขพลาราม ผมได้เดินเรื่อยเปื่อยไปตามเส้นทางท่ามกลางหมู่ไม้รกครึ้มภายในสวนโมกข์ ฤดูฝนขับให้ผืนป่าที่นี่ชุ่มชื้นและครึ้มเขียวไปหมด ดูแล้วสงบเย็น เพียงแค่ได้เดินอยู่ในความเงียบสงบของที่นี่ ก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว

การได้ไปเยือนสวนโมกข์ ทำให้ผมนึกถึงการเขียนบันทึกสั้นๆ เหมือนครั้งไปเยือนแม่น้ำเงาเมื่อปลายปี ๒๕๔๔ ครั้งนั้นพวกเราพูดคุยกันว่า น่าจะเขียนอะไรกันคนละชิ้นสองชิ้นในการเดินทางร่วมกัน ผมจึงเลือกเขียนกลอนสั้นๆ สามสี่บรรทัด พร้อมด้วยบันทึกสั้นๆ เอาไว้ ครั้งนี้ผมจึงเลือกเขียนเป็นบันทึกสั้นๆ ประกอบกลอนสามบรรทัด เพื่อบันทึกเป็นการเดินทางสามบรรทัด เชิญทัศนา...


หัวลำโพง
เวทีสาธารณะ
เราล้วนเป็นตัวละคร

การเดินทางเริ่มต้นอีกครั้งที่หัวลำโพง ผู้คนในค่ำคืนนี้ไม่พลุกพล่านมากนัก แต่ละคนต่างมีจุดหมายของตัวเอง แต่ละคนต่างมีความใฝ่ฝันของตัวเอง แต่ละคนต่างออกเดินทางเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจากหัวใจของตนเอง เช่นเดียวกับฉัน

หัวลำโพง ศูนย์รวมคนเดินทางผู้แปลกหน้า เราร่วมอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เราร่วมกันแสดงอยู่บนเวทีของโลก บนเวทีของชีวิต มิต่างอะไรกับตัวละคร


ภายในตู้เสบียง
ผู้คนกินดื่ม
ชีวิต

บนรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ฉันนั่งอยู่ในตู้เสบียง เฝ้ามองดูผู้คนดื่มกินอาหาร พูดคุยและสรวลเสเฮฮา ภาพความมืดที่เคลื่อนผ่าน แต่ละสถานีที่เคลื่อนผ่าน ชีวิตได้เคลื่อนผ่านไปพร้อมกับวันเวลา ฉันพบความชราภาพในตัวเอง


ความมืดอันยืดยาว
ขบวนรถไฟใจ
ดูจะไร้จุดหมายปลายทาง

ความมืดรินไหลราวไม่สิ้นสุด ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟ เสียงกึงกังของล้อเหล็กเบียดเสียดรางบ่งบอกให้รู้ถึงหนทางอันยาวไกล จุดหมายของการเดินทางอาจมิไกลเกินไปนัก หากแต่จุดหมายแห่งหัวใจ อยู่ที่ใดนั้น ดูจะมืดมนหนทาง และไร้จุดมุ่งหมาย


รุ่งเช้า
โลกเปิดเปลือกตา
ชมมหรสพชีวิต

ฉันตื่นขึ้นมาเมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง รับรู้ถึงอากาศเย็นชื้นของสายฝนแห่งค่ำคืน ความชุ่มชื่นของต้นไม้ใบหญ้า หยาดน้ำค้างค้างเกาะใบไม้ มองเห็นสวนยางพารา ต้นมะพร้าว ตาลโตนด และท้องทุ่งนากว้างไกลสุดสายตา ขณะท้องฟ้าชักม่านเปิด ดวงอาทิตย์ไขแสง มหรสพแห่งชีวิตของที่นี่ เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


หม้อกาแฟกรุ่นไอร้อน
พระเดินบิณฑบาต
เนิบช้า

ฉันลงรถไฟที่สถานีไชยา สถานีเล็กๆ อันสงบเงียบของเมืองอันเงียบสงบ ฉันมองหาร้านกาแฟที่ซ่อนตัวอยู่ในตลาด เดินสวนกับพระที่ออกเดินบิณฑบาตมาตามถนนหนทาง แต่ละย่างก้าวสงบเงียบราวมิปรารถนารบกวนเวลาตื่นนอนของสรรพสัตว์ ค้อมกายนิ่งรับบาตรตามบ้านเรือน

นั่นไง ร้านกาแฟเก่าแก่ริมทางต้อนรับคนแปลกหน้า กรุ่นไอน้ำร้อนคลุ้งรอคอย...


ซากอิฐเก่าแก่
ความรุ่งเรืองแห่งอดีต
เผยตัวอยู่ตรงหน้า

ฉันนิ่งมองดูโบราณสถานศิลปะสมัยศรีวิชัยของวัดหลง เป็นซากอิฐเก่าแก่ พืชมอสขึ้นเขียวครึ้ม ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าอันเงียบเหงาและโดดเดี่ยว มิหลงเหลือร่องรอยความรุ่งเรืองแต่อดีตกาล แม้จะมีการสัณนิฐานกันว่า ไชยาเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยมากว่าหกศตวรรษ เป็นอาณาจักรที่มีความเจริญสูงสุด จากหลักฐานการค้นพบโบราณสถานและโบราณวัตถุอันเก่าแก่ คือพระบรมธาตุไชยา พระเจดีย์หรือปราสาทอิฐ ซึ่งบันทึกในศิลาจารึกสามองค์ที่วัดเวียง วัดแก้ว และวัดหลง

จากประวัติความเป็นมาทำให้ซากโบราณแห่งอดีตค่อยๆ เรืองรองขึ้นในใจ ราวจะนำพาเราให้พลัดหลงไปสู่ความรุ่งเรืองแห่งอดีตอีกครั้ง


พระพุทธรูปศิลาทราย
ดวงตา
สบดวงตา

ฉันก้มลงกราบเบื้องหน้าพระพุทธรูปศิลาทราย บริเวณด้านนอกของพระบรมธาตุไชยา พระพุทธรูปทั้งสามองค์ ดวงหน้ามีรูปลักษณ์อันแตกต่าง หากทว่าดูสงบ ดวงตาเปิดเพียงเล็กน้อยค้อมมองอย่างสำรวม ริมฝีปากแย้มอิ่ม สุขสงบ
ฉันเงยหน้าขึ้นสบมองดวงตาศิลาทราย ราวดวงตาสบดวงตา นิ่งงัน...


เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามา
หริ่งเรไรร้องระงม
แว่วเสียงธารน้ำไหล

เพียงแค่ย่างก้าวเข้าสู่สวนโมกขพลาราม เสียงจากโลกภายนอกดูเหมือนถูกกันออกห่างจากสรรพเสียงของจิ้งหรีดและเรไร

เนิ่นนานหลายปี วันเวลาได้นำพาฉันกลับมาที่นี่อีกครั้ง มาเฝ้าฟังเสียงพระธรรมรินผ่านสายลมโยกไหวยอดไม้ ใบไม้หล่นกระทบพื้น ไก่คุ้ยเขี่ยหาอาหาร และการขับบรรเลงของเพลงไพร เสียงพระธรรมค่อยๆ ก่อความสงบในจิตใจของฉัน เพื่อให้ฉันได้มีโอกาสหยุด และเฝ้าฟัง


ดั่งเคยอยู่
เหมือนไม่เคยอยู่
บนม้าหินตัวเดิม

ฉันนั่งเงียบ เฝ้ามองม้าหินตัวหนึ่ง ดั่งปริศนาธรรม “ตัวกู-ของกู ปล่อยวาง ซึ่งตัวกู-ของกู”

บนม้านั่งตัวนี้ ท่านพุทธทาสเคยนั่งบรรยายธรรมและต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ แต่วันนี้แม้ไม่มีท่านอยู่แล้ว แต่เหมือนท่านยังคงอยู่ ดั่งเคยอยู่ เหมือนไม่เคยอยู่ ปล่อยวางตัวกู-ของกู

๑๐
เพลงกล่อมเด็กแว่วยิน
หมากพร้าวกลางทะเลขี้ผึ้ง
ผู้พ้นบุญอยู่หนใด

ฉันเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงสระนาฬิเกร์ มองดูมะพร้าวยืนต้นโดดเดี่ยวกลางสระน้ำ เสียงเพลงกล่อมเด็กล่องลอยผ่านเข้ามา

เอ่อน้องเอย มะพร้าวนาฬิเกร์
ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง
ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง
กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย

มะพร้าวยังยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ที่นี่ คล้ายดั่งรอคอย...

๑๑
โบสถ์ธรรมชาติ
แวดล้อมด้วยต้นไม้
และเสียงนกร้อง

ฉันเดินหลงเวียนอยู่เนิ่นนานเพื่อหาทางขึ้นสู่โบสถ์ธรรมชาติเขาพุทธทอง ยิ่งเดิน ดูเหมือนยิ่งห่างไกล ทว่าหนทางย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะค้นหาพบหรือไม่

ฉันก้มลงกราบหน้าพระประธาน สงบนิ่ง เฝ้าฟังเสียงของความเงียบ เสียงบทสวดสาธยายมนต์รินผ่านสายลมที่โยกไหวใบไม้ ในเสียงนกร้อง และหริ่งหรีดเรไรระงม

เพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ ฉันพลันได้ยินเสียงใจของตัวเอง

๑๒
ก้อนหิน
นิ่งสงบ
ฟังเสียงสายลมพัดผ่าน

ฉันเฝ้ามองก้อนหิน นิ่งสงบ ไม่เคลื่อนไหว สายลมเป่าพัดลมหายใจ ก้อนหินพลันมีชีวิต ขณะฉันนิ่งสงบ ไม่เคลื่อนไหว อุ่นอวลในลมหายใจ เหมือนมีใครเฝ้ามอง.


วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๓

แม่หญิงแห่งลุ่มน้ำ

ทุกๆ เช้า เมื่อแสงแดดแผดไออันอบอุ่น กลุ่มแม่หญิงในหมู่บ้านจะเดินลงมาริมฝั่งแม่น้ำ มองดูระดับน้ำว่าแตกต่างจากวันวานมากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงเดินลงตามขั้นบันไดมายังริมฝั่ง กองสัมภาระไว้บนฝั่งก่อนย่างเหยียบลงสู่ สายน้ำอันเย็นยะเยือก เดินข้ามน้ำไปยังสันดอนที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ก้มลงเก็บไกสีเขียวราวแพรไหมที่ขึ้นอยู่ตามดอนหิน

ตามผาหิน หาดและดอนหิน ใต้ระดับน้ำที่แสงแดดสาดส่องลงไปถึง อันเป็นบริเวณน้ำที่ใสสะอาด จะเป็นที่ก่อกำเนิดของไก หรือสาหร่ายแม่น้ำโขง สายไกสีเขียวลื่นและนุ่มมือราวกับแพรไหม พลิ้วไหวไปมาในกระแสน้ำ ชักชวนให้บรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านพากันลงมาเก็บไก ตามหาดดอนหินริมสองฟากฝั่งน้ำ

ภาพก้มๆ เงยๆ ในโอบกอดของแม่น้ำอันเย็นยะเยือก ทำให้ฉันนึกถึงภาพของแม่กำลังให้นมลูกดื่ม ในช่วงขณะที่ก้มตัวลงไขว่คว้าสายไกบนหาดหิน ริมฝีปากจรดสายน้ำพลิกเพื่อมราวจะดื่มซับน้ำนมจากทรวงอกของมารดา

หลังจากเก็บไกเสร็จ พวกนางจะนำเอาไกมาซักล้างริมฝั่ง ทุบบนโขดหินและเก็บเศษตะกอนออกให้หมด จากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า และพากันเดินกลับบ้าน.

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๒

การละเล่น

ในยามบ่ายของวันสุดสัปดาห์เช่นนี้ เด็กๆ จากละแวกบ้านห้าหกคนจะชักชวนกันลงมาเล่นน้ำโขง ตรงท่าน้ำตำมิละ บริเวณนี้มีหาดทรายและโขดหินมากมาย เมื่อน้ำลงจะมองเห็นสันดอนเล็กๆ ก่อเกิดร่องน้ำซึ่งกลายเป็นอาณาจักรของลูกน้ำโขงตัวน้อยๆ ดำผุดดำว่ายกันอย่างสนุกสนาน

เกมการละเล่นต่างๆ ถูกคิดขึ้นมามากมาย ว่ายน้ำแข่งกัน ดำน้ำแข่งกัน แบ่งข้างทำสงครามกัน ครั้นเมื่อรู้สึกหนาว พวกเขาจะขึ้นมารวมตัวกันบนฝั่งทราย เล่นหมากขี้เบ้า โดยขุดทรายให้เป็นหลุมใหญ่ ถากหลุมให้เป็นร่องลึก แต่ละคนต่างปั้นทรายให้เป็นก้อนกลมแข็ง แล้วปล่อยให้ลงมาชนกันในหลุม ของใครแตกถือว่าแพ้

เช่นเดียวกับทุกเย็น วันนี้ฉันจะลงไปตักแม่น้ำโขงขึ้นมารดดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ ฉันมองดูพวกเขาเล่นกันบนฝั่งอย่างนึกสนใจ จึงเดินเข้าไปทักทาย

พวกเขาขุดหลุมทรายต่างระดับกันหลายหลุม จากริมฝั่งสูงขึ้นตามเนินทราย ถมผนังให้สูงและมีความมั่นคงแข็งแรงเหมือนเขื่อน จากนั้นจึงใช้ถุงตักน้ำขึ้นมาใส่ในหลุมบนสุด ถุงแล้วถุงเล่า ทุกคนต่างช่วยกัน จนน้ำล้น ทรายไม่อาจทานรับน้ำได้ทั้งหมด ผนังเขื่อนจึงพังทลายลง ปล่อยให้น้ำไหลลงสู่เขื่อนที่ต่ำลงมา พวกเขายังช่วยกันเติมน้ำไม่หยุดยั้ง จนเขื่อนที่สองแตก น้ำไหลลงมาในเขื่อนที่สาม สี่ ห้า จนแต่ละเขื่อนพังทลายจนหมด

พวกเขาร้องตะโกน “เขื่อนแตก เขื่อนแตก” พวกเขานึกอย่างไรกันนะ จึงจำลองหลุมทรายให้กลายเป็นเขื่อน ฉันได้แต่นึกสงสัย

“เขื่อนที่ไหนกัน เขื่อนของประเทศจีนหรือ” พวกเขายิ้มและพยักหน้า

ฉันมองดูน้ำโขงไหลจากเขื่อนด้านบนลงมายังเขื่อนชั้นต่างๆ เห็นการพังทลายของแต่ละเขื่อน ฉันรู้สึกเศร้าเมื่อคิดไปว่า หากมีบ้านเรือนและผู้คนอยู่ทางตอนล่างของเขื่อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากแม่น้ำที่เขื่อนกักกั้นอยู่เหือดแห้งลงจะเกิดอะไรขึ้น

ฉันได้แต่เศร้าใจ ขณะมองดูโลกจำลองของเด็กๆ.

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๒

เรือหาปลา

ทุกๆ วัน ในม่านหมอกยามอรุณ เรือหาปลาลอยลำกลางแม่น้ำโขง แล่นเข้าหาแสงตะวันเรืองรองเหนือเส้นขอบฟ้า แล่นฝ่าประกายวิบวับของแผ่นน้ำ ในคลื่นอันพลิ้วพรายของทุกๆ เช้า ฉันมองเห็นคนกับเรือหาปลาลำนั้น

สายลมหนาวยังพรูพรายพลิ้วไหว เรือหาปลาลอยลำโดดเดี่ยว เสียงเครื่องยนต์ก้องสะท้อน ฟองคลื่นแตกซ่าน โฉบร่อนจากแผ่นดินไทย มุ่งหน้าสู่ดอนทรายกลางลำน้ำ ก่อนชะลอตัวปรับทิศทางตั้งลำริมฝั่ง เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม ลูกบอลถูกเหวี่ยงลอยคว้างเหนือสายน้ำ สายมองถูกปล่อยล่องไหล แล่นเรือทวนกระแส ทำมุม ๓๐ องศากับดอนทราย ๔๕ องศา ๖๐ องศา ๙๐ องศา ๑๒๐ องศา เครื่องยนต์ถูกผ่อนและดับนิ่ง ปล่อยให้เรือเคลื่อนที่เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวบนแผ่นน้ำ และไหลล่องเฉกเช่นกระแสน้ำ

สายตาเหม่อมองสายน้ำแผ่กว้าง จับจ้องลูกบอลลอยคว้างอย่างมีความหวัง ขณะมือหนึ่งวาดวนใบพายอยู่บนหัวเรือ ส่วนอีกมือหนึ่งถือสายมองมั่น ประสาทรู้สึกตื่นโพลงพร้อมรับสัมผัสอันหนักหน่วงใต้ผืนน้ำ

เวลาผ่านไปอย่างอ้อยอิ่งช้าเชือน แสงตะวันเพิ่มไออุ่นหอมอวล พรานปลาเร่งสาวสายมองขึ้นกองบนเรือ รับสัมผัสจากแรงกระตุกอันหนักหน่วง ยิ่งเข้าใกล้จุดหมาย แรงสัมผัสยิ่งหนักหน่วง

ชีวิตผู้คนริมฝั่งแม่น้ำโขงดำเนินอยู่เช่นนี้ แม่น้ำยังเคลื่อนไหลอย่างมีชีวิตชีวา แม่น้ำคอยโอบเอื้อชีวิตของ ผู้คนริมฝั่ง เกื้อกูลสายสัมพันธ์แห่งชีวิตมิให้ขาดรอน.

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๑

ลมหนาว

ลมหนาวระลอกใหม่พัดโชยเข้ามาอีกครั้งจากผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของประเทศจีน สายลมหนาวพัดพาเรียวปีกของฝูงนกผ่านเข้าสู่ประเทศอันอบอุ่น

เช้าวันนี้จึงไม่พบเห็นนักท่องเที่ยวลงมาเดินเล่นอยู่ริมฝั่งโขงเช่นที่เคยมี นอกจากชายชราในชุดคลุมคนหนึ่งลงมาขี่จักรยานออกกำลังกายดังเช่นทุกๆ วัน ฉันมักเห็นแกออกมาขี่จักรยานเสมอในช่วงเช้าๆ เช่นนี้

แม้ว่าชายชราจะมีอายุมากแล้ว แต่ยังดูแข็งแรงดี แม้เราจะไม่เคยพูดคุยหรือทักทายกัน ทว่าเราต่างรับรู้การมีอยู่ของกันและกัน ชายชราขี่จักรยานผ่านร้านกาแฟทุกวัน แกมองดูร้านกาแฟแต่ไม่เคยเอ่ยถามถึงสิ่งใด ชายชรามองดูด้วยสายตาของผู้ที่เฝ้ามองความเป็นไป

ในเช้าวันนี้จึงมีเพียงฉันและชายชราในความคิดคำนึงของตน เฝ้ามองแสงเรื่อเรืองเหนือเทือกเขาบนแผ่นดินลาว ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นจากเทือกเขา สาดแสงอ่อนจางเผยความอบอุ่นแก่พื้นโลก แสงเช้างดงามสาดสะท้อนลงบนผืนน้ำเป็นประกายวิบวับ ม่านหมอกล่องลอยโอบล้อมเทือกเขาและแม่น้ำเอาไว้ เช่นเดียวกับแสงแดดอันอบอุ่นโอบล้อมชีวิตของโลก.

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2550

มนต์รักแม่กลอง

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

มนต์รักแม่กลอง




เจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงขับร้อง
ดั่งเพลงมนต์รักแม่กลอง
ล่องลอยพลิ้วหวานซ่านมา
กล่อม...สาวงามบ้านอัมพวา
มนต์รักแม่กลองแว่วมา
เหมือนสายธาราแม่กลองรำพึง





บทเพลงมนต์รักแม่กลองแว่วหวานซ่านผ่านริมฝีปากของฉันอยู่ตลอดเวลาที่เดินทางมุ่งหน้าสู่อำเภอแม่กลอง ราวกับว่า ฉันเดินทางมาตามท่วงทำนองของบทเพลง มาตามเสียงพร่ำร้องเพรียกหาที่แว่วดังอยู่ในหัวใจมาเนิ่นนาน





พี่ต้องจากลาขวัญตานิ่มน้อง
ไม่ลืมลาสาวแม่กลอง
ต้องครวญหวนมาสักวัน
กลิ่น...เนื้อนางไม่จางสัมพันธ์
เราสองล่องเรือร่วมกัน
ร้องเพลงชมจันทร์ลุ่มน้ำแม่กลอง


ฉันนั่งอยู่ริมแม่น้ำ ปล่อยให้สายลมหอบกลิ่นไออันอ่อนโยนคุ้นเคยล่องลอยเข้ามาโอบกอด ขณะเคลิ้มฟังบทเพลงแว่วหวานไพเราะจากเสียงไวโอลินของชายนิรนาม เสียงไวโอลินของเขาได้ชักพาให้ฉันเดินทางย้อนกลับไปสู่อดีตอันเลือนรางเมื่อวัยเด็ก ภาพแม่น้ำแผ่กว้างไพศาล ภาพเรือที่สัญจรผ่านไปมา บ้านเรือนริมฝั่งคลอง และการเดินทางอันไม่สิ้นสุด


ไม่เคยสิ้นสุด ราวกับว่าการเดินทางได้เริ่มต้น ณ ที่ใดที่หนึ่งของสุดฟากความฝัน เพื่อเดินทางไปยังที่ใดที่หนึ่งของอีกสุดฟากความฝัน เพียงชั่วลำน้ำแม่กลองขวางกัน เพียงชั่วเสียงเพลงล่องลับลอยหาย การเดินทางได้เริ่มต้นอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง...

ไม่ลืม...น้ำใจไมตรี
สาวงามบ้านบางคณที
เอื้ออารีเรียกร้อง ให้ดื่มน้ำตาล
พร้อมกับยิ้มหวานของนวลละออง
ก่อนลาจากสาวแม่กลอง
เราร่วมปิดทองงานวัดบ้านแหลม

ฉันเดินเรียบเรื่อยมาตามลำคลองอัมพวา ห่างไกลจากย่านตลาดที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม เดินเลือกซื้อสินค้า อาหาร ขนม และของฝากกันอย่างพลุกพล่าน ทว่ายิ่งห่างไกลออกมา ภาพห้องแถวไม้ริมฝั่งคลองกลับเงียบเหงา ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นอันเงียบสงบ


ฉันได้พบว่า ความมีชีวิตจริงๆ ของคนอัมพวาแอบซ่อนอยู่ที่นี่ ชีวิตอันปกติธรรมดาของผู้คน บ้านเรือนและร้านขายของของชาวบ้าน มีตั้งแต่อุปกรณ์การเกษตร ยา และสินค้าของชำ บางครอบครัวนั่งล้อมวงกินอาหารมื้อค่ำอยู่ด้วยกัน บ้างจดจ่ออยู่หน้าจอโทรทัศน์ บ้างนั่งพูดคุยสรวลเสเฮฮาระหว่างเพื่อนบ้าน เด็กๆ วิ่งหยอกล้อ กระโดดเล่นน้ำ หรือบางที นี่คือวิถีชีวิตของผู้คนแห่งลุ่มน้ำแม่กลองที่ฉันอยากได้รู้จักจริงๆ?
เจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงขับร้อง
คร่ำครวญลาสาวแม่กลอง
ล่องลอยเมื่อคืนข้างแรม
กรุ่น...หอมไอทะเลเคล้าแซม
มนต์รักแม่กลองแทรกแซม
คิดถึงพวงแก้มนวลสาวแม่กลอง

สายลมยามค่ำคืนหอบไอเย็นของแม่น้ำขึ้นมาอบร่ำ เรือล่องออกจากตลาดอัมพวาเข้าสู่คลองผีหลอก เรือท่องเที่ยวนับสิบลำล่องไปในความมืดของแม่น้ำ เฝ้ามองแสงพริบพราวของดวงดาวเล็กๆ มากมายที่เกาะอยู่ตามกิ่งก้านดอกใบของต้นลำพูเหนือผืนน้ำ นาฏกรรมแห่งชีวิตที่ชักชวนผู้คนมากมายเข้ามาเยี่ยมชม อีกทั้งยังชักชวนความขัดแย้งมาสู่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมฝั่งคลอง หรือการท่องเที่ยวกำลังจะเข้ามาแบ่งแยกทำลายความสงบเรียบง่ายของผู้คนที่นี่?



สายน้ำยามค่ำคืนทำให้ฉันหวนคิดถึงเรื่องราวมากมายที่ล้วนเคยผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป ชีวิตที่ผ่านมาของฉันล้วนมีความเชื่อมโยงผูกพันอยู่กับสายน้ำ และผู้คนที่พิงพักอาศัยอยู่กับสายน้ำ เรื่องราวชีวิตของผู้คนที่นี่ก่อให้เกิดความคุ้นเคยกับฉันอย่างประหลาด แม้ในภาวะที่จำความได้ นี่คือครั้งแรกที่ฉันได้มาเยือนถิ่นแม่กลอง

แต่ในความฝันลึกล้ำของวัยเยาว์ สายน้ำแม่กลองล่องไหลเข้ามาอยู่เยือนในหัวใจของฉันมาเนิ่นนานแล้ว นับจากวันนั้น...

เสียงไวโอลินยังบรรเลงเพลงแผ่วเบา ล่องลอยมาตามสายน้ำยามค่ำคืน หวานแว่ว...
กรุ่น...หอมไอทะเลเคล้าแซม
มนต์รักแม่กลองแทรกแซม
คิดถึงพวงแก้มนวลสาวแม่กลอง...


๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๐

ข้างหลังโปสการ์ด

ยามเย็นเดินทางผ่านเข้ามาอย่างเงียบงัน ในบรรยากาศอันเงียบเหงาของร้านกาแฟ แม่น้ำโขงยังคงล่องไหลดุจดังชีวิต ล่องไหลไม่หยุดยั้ง

เรือลำน้อยลอยล่อง บางขณะถูกปล่อยให้ลอยคว้างกลางลำน้ำ ไร้ทิศไร้ทางไม่แตกต่างจากชีวิตในบางช่วงเวลา ถูกปล่อยให้เคว้งคว้างไร้จุดหมายปลายทาง

ฉันหวังว่าการเดินทางที่ผ่านมาคงยังความสุขแก่เธอบ้าง หากเราไม่ปล่อยให้ตัวเองคาดหวังกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป เมื่อเรามีความรู้สึกว่า หลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่เราคิดเอาไว้ หากเราไม่คาดหวังอันใด แน่นอนว่าเราย่อมไม่รู้สึกผิดหวัง เราเพียงแต่ปล่อยให้ชีวิตไหลลอยไปดุจเดียวกับกระแสน้ำ ไร้ซึ่งการคาดหวังใดใด

อากาศหนาวเย็นเริ่มจางคลายลงบ้างแล้วในยามเช้า และปล่อยให้ยามเย็นนิ่งงัน ทว่าชีวิตยังคงเริงเล่นไปอย่างอิสระและเปี่ยมล้นด้วยพลังใจ.

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๙

ชายชรากับหลานสาว

แสงแดดอ่อนโยนของยามเย็นอาบละอองพร่ามัวทาบทับเทือกเขาไกลโพ้น ดูราวกับฉากที่มีแม่น้ำโขงล่องไหลลับหาย นักท่องเที่ยวลงมาเดินชมความงดงามอยู่บนถนนริมฝั่งน้ำ ในขณะที่ผู้คนที่นี่ออกมาเดินเล่นและวิ่งออกกำลังกายดังเช่นปกติ เรือลอยลำเนิบช้าอยู่ริมฝั่งน้ำ ห่างไกลออกไปยังอีกฟากฝั่ง ชาวลาวเดินทอดแหอยู่บนหาดกรวดหินบนสันดอนกลางแม่น้ำ

ทุกเย็นฉันพบเห็นชายชราคนหนึ่งลงมาอาบน้ำโขงอยู่เสมอ คล้ายดั่งคำมั่นสัญญาของเพื่อนเก่า ชายชรากับแม่น้ำโขง คล้ายเป็นสัญญาณลึกลับในการพบเจอระหว่างชายชรากับฉัน และเป็นดั่งการนัดพบของชายชรากับเจ้ามณี สุนัขผู้มีอารมณ์กราดเกรี้ยวของตำมิละเกสต์เฮาส์

ทุกเย็นก่อนลงไปอาบน้ำในแม่น้ำโขง ชายชราจะออกเดินหรือวิ่งไปมาอยู่บนถนนริมฝั่ง เพื่อเรียกเหงื่อและทำให้ร่างกายอบอุ่นมากพอที่จะต้านทานความหนาวเย็นของแม่น้ำโขง ทันทีที่ชายชราปรากฏตัว ฉันจะได้ยินเสียงเห่าของเจ้ามณีจากบนเกสต์เฮาส์ จากนั้นมันจะค่อยๆ พาร่างเตี้ยๆ ของมันลงมาวิ่งไล่ตามเห่าแก ในขณะที่แกเองหันมาแกล้งขู่และเย้าแหย่มัน ทว่าเจ้ามณีก็หาได้ลดละไม่ ทั้งคู่จึงต่างวิ่งไล่ข่มขู่กันไปมาราวกับการเริงเล่นของสายลมที่หลงรักใบไม้แห้ง จึงพัดพาใบไม้ให้หมุนคว้างไปมาอยู่เช่นนั้น เมื่อสงครามยุติ ชายชราจึงเดินลงไปยังริมฝั่งน้ำ

เย็นนี้ก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่ได้เห็นชายชรา เสียงเห่าของเจ้ามณีก็ดังขึ้น เป็นเสียงเห่าเล็กๆ ที่ไม่น่าเกรงขามเท่าใดนัก ทว่าในวันนี้ชายชรามากับหลานสาวตัวน้อยๆ คนหนึ่ง เธอคงนึกสนุกจึงอยากมาอาบน้ำโขงกับปู่ด้วย

ชายชราพาเธอออกวิ่งช้าๆ ไปตามถนนเลียบแม่น้ำ เสียงของเจ้ามณีเงียบหายไป แต่แล้วกลับดังขึ้นอีกครั้ง ดั่งคำสัญญาที่มีต่อกัน เจ้ามณียังทำหน้าที่ของมัน แต่พอมันเห็นเด็กหญิง มันเห่าอีกสองสามครั้งพอเป็นพิธีก่อนหันหลังกลับ ราวกับมันต้องการบอกให้ชายชรารู้ว่า “เอาแค่นี้ก็แล้วกัน ฉันไม่อยากทำให้แกต้องขายหน้าสาวน้อยคนนี้หรอก” จากนั้นมันก็วิ่งกลับขึ้นไปประจำที่ของมัน

เมื่อวิ่งจนเหนื่อย ชายชราพาเด็กหญิงเดินลงบันไดไปยังฝั่งน้ำ แกนั่งลงและชี้ชวนให้เด็กหญิงมองดูการไหลของสายน้ำพลางเอ่ยเล่าถึงบางเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำโขง จากนั้นแกช่วยเธอถอดเสื้อผ้าออกเพื่อให้ร่างกายชินกับไอเย็นของอากาศ หยั่งเท้าลงบนผืนทรายปล่อยให้เกลียวคลื่นน้อยๆ จากเรือหาปลาลามเลียหน้าแข้ง ฟังเสียงกระซิบแผ่วเบาจากคลื่นน้ำ และเริงเล่นอย่างสนุกสนาน

มันน่าตื่นเต้นมิใช่หรือกับการได้ลงมาอาบน้ำโขง มันน่าตื่นเต้นมิใช่หรือกับเรื่องเล่าของชายชรา เช่นเดียวกับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังย่างกรายเข้ามาสู่ชีวิตของเด็กหญิงคนนี้ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมิใช่หรือกับครั้งแรกของชีวิต.

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ดวงตะวันที่จำปาสัก

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

ยามเช้ากำลังเริ่มต้นขึ้นที่ริมขอบฟ้า ขณะความมืดคลี่ม่านหม่นเผยให้เห็นผืนฟ้างามครามชมพู เรื่อเรืองราวผิวสาวเปล่งปลั่งส่องสะท้อนจนพื้นผิวของแม่น้ำโขงอาบด้วยมวลแห่งสีสันดุจเดียวกัน

ฉันยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ฟังเสียงคลื่นน้ำทบทยอยเข้าสู่ชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่าราวมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย สายลมหนาวยะเยือกหอบพัดเอากลิ่นหอมชื่นของแม่น้ำอันคุ้นเคยเข้ามา ฉันเฝ้ามองดูฝูงนกสีขาวผกโผจากรวงรังบินข้ามฟ้าลับหายไปในม่านหมอกเบื้องทิศตะวันออก ขณะดวงตะวันสีแดงปรากฏรูปกายเหนือเส้นขอบฟ้า เรืองรองด้วยแสงแดดอ่อนจาง ค่อยๆ เก็บซับมวลหมอกเหนือผิวน้ำ ค่อยๆ อาบความอบอุ่นไปทั่วบริเวณ

หมู่บ้านริมฝั่งเรืองรองอ่อนหวานด้วยแสงแรก ก่อนแผ่ซ่านละอองแดดอันอบอุ่นอาบผืนน้ำโขงจนเปล่งประกายงามระยับ เอื้อความอบอุ่นให้กับเรือหาปลาของชาวประมงพื้นบ้านที่ล่องลอยอยู่กลางแม่น้ำตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง เด็กชายตักน้ำขึ้นมารดพืชผักของแปลงเกษตรริมฝั่งแม่น้ำโขง แม่หญิงชาวบ้านลงมาซักผ้าและตักน้ำหาบเอาขึ้นไปเก็บไว้ใช้ภายในครัวเรือน และเด็กๆ ที่วิ่งเล่นสนุกสนานอยู่ในรั้วบ้านอันอบอุ่น

ละอองแดดอบอุ่นอาบร่างของหญิงแม่ค้าน้อยๆ สวมหมวกญวนขี่รถถีบกระเตงของขายอยู่บนถนนสายหลักในเมือง แม่หญิงชาวบ้านใส่บาตรและพนมมือรับพรจากพระสามสี่รูปที่เดินออกมาบิณฑบาตตามบ้านเรือน แม่เฒ่าสองนางสวมเสื้อกันหนาวนั่งเคี้ยวหมากพูดคุยถึงความหลังบนเตียงไม้ใหญ่หน้าบ้าน และไอร้อนจากหม้อต้มกาแฟและหม้อเฝออวลอุ่นในร้านกาแฟยามเช้าที่คับคั่งไปด้วยผู้คน

ละอองแดดอาบอุ่นต้นไม้ใบหญ้าสดขจีจากหยาดน้ำค้างยามเช้า งานบุญเลี้ยงพระของบรรดาพ่อบ้านแม่บ้านที่กำลังนั่งฟังเพลงสวดแห่งสานุศิษย์ของสมณโคดม นักกีฬาเดินยืดเส้นสายเพื่อเตรียมตัวลงสนามแข่งขันในงานกีฬาประจำแขวง ขบวนผู้โดยสารและสัมภาระอัดแน่นบนรถสองแถวที่กำลังเดินทางจากเมืองไปสู่เมือง และบรรดานักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่กำลังเตรียมเดินทางไปร่วมงานบุญที่ปราสาทวัดพู

ละอองแดดอาบอุ่นอยู่ตามตึกรามบ้านช่องห้องหับของเมือง โฮงหมอหรือสถานพยาบาลอันเงียบร้างและไร้ผู้คน สนามและอาคารของโฮงเฮียนอันเงียบเหงาในเช้าวันอาทิตย์ สิมและวัดวาอารามนิ่งสงบรอคอยผู้ศรัทธาเข้ามาเยี่ยมเยือน เฮือนไม้ประดับประดาสร้อยฉลุเชิงชายหลังคาแบบขนมปังขิงตามสถาปัตยกรรมร่วมสมัยรัชกาลที่ห้า ตึกโคโรเนียลร่องรอยแห่งศิลปะตกค้างจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ขัวหรือสะพานวัดใจที่ไม่อนุญาตให้รถวิ่งผ่านสวนทางบนลำห้วยสายน้อย

ดวงตะวันอาบละอองแดดอันอบอุ่นไปทั่วเมืองทั้งเมือง มิแบ่งแยกผู้เหย้าหรือผู้มาเยือน มิแบ่งแยกว่ายากดีมีจนสูงส่งหรือต่ำทราม มิแบ่งแยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือศาสนา ตามวิถีชีวิตอันเรียบง่ายงดงามของผู้คน ทว่าเอื้อความอบอุ่นไปถ้วนทั่วตลอดเส้นสายแม่น้ำโขง มิได้แบ่งแยกว่าเป็นผู้ให้หรือผู้ทำลาย เป็นผู้กักตุนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตนหรือผู้คอยเอื้อเฟื้อแบ่งปัน มิแบ่งแยกว่าเป็นจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชาหรือเวียดนาม แม่น้ำโขงยังคงหลากไหลไปหล่อเลี้ยง ดวงตะวันยังสาดแสงร้อนแรงอบอุ่น

ทุกครั้งที่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าสายน้ำ ฉันนึกถึงความเอื้อเฟื้อแบ่งปันที่หลากไหลไปหล่อเลี้ยงมวลสิ่งมีชีวิตได้ไม่เคยสิ้นสุด ทุกครั้งที่ได้เฝ้ามองการก่อกำเนิดของดวงตะวัน ฉันนึกถึงการเริ่มต้นของชีวิตและการเอื้อเฟื้อแบ่งปันความอบอุ่นให้กับชีวิตได้ไม่เคยหมดสิ้น และทุกครั้งจึงก่อเกิดความอบอุ่นคุ้นเคยเล็กๆ ในใจฉัน แม้นจะอยู่ในแดนดินอันห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน

ใช่หรือไม่ว่า นี่คือหัวใจแห่งรักของผู้มอบให้อย่างแท้จริง เฉกเช่นสายน้ำให้ได้โดยไม่เคยร้องขอสิ่งตอบแทน แสงของดวงตะวันอาบเอื้อแบ่งปันให้โดยไม่เคยร้องขอสิ่งตอบแทน และเช่นเดียวกัน ฉันปรารถนาเป็นได้แค่เพียงเศษหนึ่งส่วนล้านของสายน้ำและดวงตะวัน...
ขอบคุณ นู๋ไหม สำหรับภาพสุดท้าย
พิมพ์ครั้งแรก สานแสงอรุณ ฉบับโลกต้องการ "เล็ก" และ "งาม" พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๐

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๘

เดือนเพ็ญ

ความมืดกำลังลืมตาตื่น ในขณะที่แสงของยามพลบเลือนรางอยู่หลังเทือกเขาฟากตะวันตก พระจันทร์ซีดขาวค่อยๆ เผยตัวตนเหนือเทือกเขาฟากฝั่งเมืองห้วยทราย ความมืดค่อยๆ ขับให้พระจันทร์เปล่งแสงนวลสีเหลืองเรืองเรื่อขึ้นทุกขณะ แสงอันงดงามก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

แสงจันทร์นวลกระจ่างค่อยๆ ลูบไล้พื้นผิวโลก เอิบอาบพืชพรรณ สัตว์ มนุษย์และมวลสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนโลกใบนี้ โลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าถึงพระจันทร์

ในค่ำคืนเช่นนี้ เหมาะที่จะได้นอนฟังนิทานแห่งดวงจันทร์ และปล่อยความคิดฝันให้ล่องลอยไปในจินตนาการอันบรรเจิดเพริศแพร้ว หลายครั้งฉันได้พบว่า เรื่องเล่าจากวัยเยาว์ได้เติบโตขึ้นในตัวตนของฉัน และยังคงแต่งแต้มสีสันลงไปในเรื่องราวเมื่อครั้งอดีต ปล่อยให้มันงอกเงยและงดงาม

ค่ำคืนนี้จึงเหมาะสำหรับการเปิดโลกในอดีตของเราขึ้นมา เพื่อปล่อยให้ตัวเองโลดแล่นไปสู่จินตนาการอันกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับแสงของดวงจันทร์ที่ลูบไล้ทั่วพื้นแผ่นดินโลกยามค่ำคืน

แสงจันทร์ทำให้เราได้มองเห็นการเติบโตขึ้นของตัวเอง ในโลกแห่งจินตนาการที่แฝงฝังอยู่ในหัวใจของวัยเยาว์อีกครั้ง.

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๗

คนปลูกผัก


ลมหนาวมาเยือนอย่างแผ่วเบาในเช้าวันนี้ ต้นไม้ใบหญ้าเริงร่าในพรายพรูของสายลม ม่านหมอกแผ่คลุมสายน้ำอย่างนุ่มนวล ขณะดวงตะวันเผยรอยยิ้มที่ริมขอบฟ้า ชายชราลากรถเข็นบรรทุกไซลั่นสามใบผ่านหน้าร้านกาแฟ น้ำแห้งลงมากแล้ว การวางไซดักปลาเป็นไปได้ยาก จึงถึงเวลาแขวนไซเพื่อซ่อมแซม หากทว่ากิจกรรมริมแม่น้ำโขงอีกอย่างหนึ่งของชายชรายังดำเนินต่อไป

เช้าและเย็น ชายชราจะออกมาดูแปลงผักริมฝั่งน้ำ เดินลงไปตักน้ำโขงขึ้นมารดแปลงผักที่กำลังอวดช่อใบงอกงาม วันเวลาเคลื่อนผ่านสวนน้อยๆ แห่งนี้ ชายชราเพียงอาศัยเฝ้ารดน้ำดูแลมิได้ขาด แร่ธาตุใต้พื้นดินริมฝั่งจึงต่างช่วยเร่งให้พืชผักนานาชนิดเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

ในยามเช้าที่สายลมหนาวพัดผ่านมาเยือน ภรรยาของชายชรากับหลานสาวลงมาช่วยกันเก็บพืชผักในสวนน้อยๆ สำหรับมื้ออาหาร สำหรับแจกจ่ายเพื่อนบ้าน มีเหลือเผื่อขายในตลาด พืชผักมีมากพอสำหรับคนทั้งเมือง

ชีวิตริมสองฟากฝั่งเป็นดั่งเดียวกัน เมื่อลมหนาวพัดผ่าน น้ำลดระดับลง ผืนดินริมฝั่งแม่น้ำโขงโอบรับ เมล็ดพันธุ์มากมาย โอบอุ้มดูแลมวลชีวิตให้เติบโตขึ้นพร้อมกัน.

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖

หมอกเช้า

วันนี้ฉันมาเปิดร้านสายกว่าปกติ เพราะมัวแต่นอนรอแสงของยามเช้าให้เข้ามาเยี่ยมเยือนทางหน้าต่างห้อง โดยหารู้ไม่ว่า วันนี้เราอาจไม่ได้พบเห็นแสงอันอบอุ่นของยามวันก็เป็นได้ ด้วยม่านหมอกคลี่คลุมเมืองทั้งหมดไว้ในความชื่นมื่นรื่นรมย์

เมื่อฉันมาถึงร้านกาแฟ ม่านหมอกโรยตัวอยู่ตามถนนหนทาง ปกคลุมแม่น้ำทั้งสายไว้ในม่านหนาทึบ พร่าเลือนและขาวโพลน อำพรางทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ราวกับเด็กสาวผู้เอียงอายมิกล้าสบตาเด็กหนุ่มที่แอบจ้องมอง

ทันทีที่เปิดประตูร้าน หมอกได้ทะลักไหลเข้ามาเต็มร้าน ทำให้ทุกอณูของอากาศเต็มไปด้วยละอองหมอกอันชุ่มชื้น นกเช้าร้องมาจากที่นั่นที่นี่ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มชุ่มชื่นอยู่ด้วยน้ำค้าง ดอกเสี้ยวทิ้งตัวสู่ลานพื้นอย่างแช่มช้า กิ่งใบโยกไหวในสายลมบางเบา

ครั้นพอกาน้ำร้อนเริ่มเดือด ม่านหมอกค่อยๆ คลายตัวถดถอย เลือนรางและจางหาย ค่อยๆ เผยภาพของ แม่น้ำให้คืนกลับมาอีกครั้ง แม่น้ำโขงที่คุ้นเคย หากทว่าในเช้าวันนี้กลับดูราวกับเป็นแม่น้ำสายใหม่ เต็มไปด้วยละอองหมอกบางเบา เต็มไปด้วยความงามที่รอคอยการค้นพบ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาที่เคลื่อนไหลไม่เคยหยุดนิ่ง
ภาพชีวิตราวกับได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่นี้ ค่อยๆ ดำเนินต่อไปอีกครั้ง.

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕

โต๊ะไม้


ดวงตะวันเรื่อเรืองในม่านหมอกยามเช้า ประดับขอบฟ้าและเทือกเขาให้งดงาม แม่น้ำเปล่งประกายล้อแววแดด
เก้าอี้แอบอิงโต๊ะไม้สักราวพักเหนื่อย จากค่ำคืนจวบจนรุ่งสาง และเมื่อยามเช้ามาเยือนอีกครั้ง มวลชีวิตตื่นฟื้นจากหลับฝัน เปล่งประกายพลังภายในตน

เช่นเดียวกับเก้าอี้และโต๊ะไม้ ฟื้นตื่นสู่ความมีชีวิตชีวา ประดับประดาด้วยแจกันดอกหญ้า กระถางผักแว่น กระบอกไม้ไผ่สานลวดลายใส่กระดาษทิชชู่ และที่เขี่ยบุหรี่ดินเผา

เก้าอี้และโต๊ะไม้สักสงบนิ่งรอคอย ผู้รักในกลิ่นรสหอมกรุ่นของกาแฟสด ผู้รักในรสกลิ่นแห่งจินตนาการของโลกวรรณกรรม และผู้พร้อมเปิดเผยความงามในส่วนเสี้ยวแห่งความทรงจำ

นั่งลงสิ เราพร้อมแล้วที่จะรับฟังเรื่องราวของคุณ

ในยามที่แสงแดดอ่อนจางทาบทอเผยลวดลายเนื้อไม้อ่อนช้อย เผยปุ่มตาซึ่งครั้งหนึ่งเคยผลิแตกช่อใบ และเผยความทรงจำแห่งชีวิต

นั่งลงสิ แล้วเราจะเล่าให้คุณฟัง.

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔

ดอกเสี้ยว


ต้นเสี้ยวที่ขึ้นอยู่หน้าร้านกาแฟ แตกกิ่งแตกก้านเบิกบานอยู่ในแสงแดดอบอุ่นของยามเช้า สายลมหนาวพัดเข้ามาเพียงแผ่วเบา โยกไกวเริงล้อกับช่อดอกสีม่วงอ่อนจาง และช่อใบสีเขียวละมุน ให้ระบัดพลิ้วเริงร่า เหมือนเกลียวคลื่นไล่ล้อกันไปมาระหว่างสองฟากฝั่งน้ำ

ฉันเฝ้ามองการโรยร่วงของดอกเสี้ยว เกลื่อนกระจายเต็มลานพื้น บนโต๊ะ บนเก้าอี้ไม้ บนจานรองแก้วกาแฟ การหล่นร่วงอันงดงาม

เช่นเดียวกับวันวัยอันงดงามของชีวิตที่ค่อยๆ หล่นร่วง เลือนลับหายไป.

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓


ภาคแรก: ฤดูหนาว ๒๕๔๖

ร้านนาคา



วันนี้ฉันมาเปิดร้านกาแฟแต่เช้า นับเป็นวันแรกของการเปิดทดลองขายกาแฟ หลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ค่อยเรียบร้อยอย่างที่ควรเป็นนัก หากทว่าต้องรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยลงตัว คงใช้เวลาอีกยาวนานกว่าเศษเสี้ยวแห่งความฝันจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

แม่น้ำโขงไหลเรียบเรื่อยในบรรยากาศยามเช้าของฤดูหนาว สายลมพราวพรูบางเบา ฉันนั่งลงเขียนบันทึกอีกครั้ง หลังการเดินทางอันยาวไกล ชีวิตควรจะได้หยุดนิ่งอีกครั้ง เพื่อเพ่งพินิจถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ล้วนผ่านเลยไปโดยไม่หวนคืนกลับมา

จวบจนเย็นย่ำ ภาพแม่น้ำยังทอดอยู่เบื้องหน้า เรือโดยสารล่องกลับมาจากหลวงพระบาง เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม เสียงเกลียวน้ำม้วนตัวเข้ากระทบริมฝั่งระลอกแล้วระลอกอีก ก่อนจางหายในความเงียบงันของยามพลบค่ำ

ความมืดโรยตัวอย่างช้าเชือน คลี่คลุมแผ่นดินสองฟากฝั่งลำน้ำโขง.

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ลอยไปกับสายน้ำ ๓

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

แม่น้ำสีคราม
หนึ่ง
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันที่แจ่มใส ท้องฟ้าสะอาดปราศจากหมู่เมฆ หรือแม้แต่ริ้วรอยใด สายลมแผ่วจางชวยชื่นทำให้บรรยากาศยามเช้าหอมหวานอย่างประหลาด ฉันหวนคิดถึงความใฝ่ฝันใคร่ได้ไปเยี่ยมเยือน ดินแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงในเสียงพิณแคนของบทเพลงพื้นบ้าน บทเพลงที่เดินทางเข้าสู่หัวใจของฉันได้โดยปราศจากการแบ่งแยกใดใด

จากดินแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง เราเดินทางมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งแม่น้ำโขง จากตำนานของปู่ละหึ่งเราเดินทางเข้าสู่ตำนานแห่งพญานาคา

ในเช้าวันที่อากาศแจ่มใส ถนนสีเทาทอดยาวออกไปราวกับไม่สิ้นสุด เชื่อมต่อเขตแดนแห่งเทือกเขาสูงสู่เขตแดนแห่งเทือกเขาสูง ไต่ไปตามสันเขาเทือกหนึ่งสู่สันเขาอีกเทือกหนึ่ง ก่อนเลื้อยลงสู่แอ่งสกลนคร และลุ่มน้ำสงคราม

ลุ่มน้ำสงครามมีเทือกเขาภูพานเป็นสันปันน้ำอยู่ทางทิศใต้ มีพื้นที่รับน้ำฝน 12,637 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดอุดร หนองคาย สกลนครและนครพนม ด้วยความยาว 420 กิโลเมตร

เรามาถึงอำเภอศรีสงครามใกล้เที่ยงคืนแล้ว หลังจากเติมท้องให้อิ่มอุ่น เราต่างเลือกที่จะทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งหน้าสถานีขนส่ง ปล่อยให้ค่ำคืนที่เหลือช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง

ลุ่มน้ำสงครามเป็นลำน้ำสาขาสายหนึ่งของแม่น้ำโขง ชาวบ้านแถบต้นน้ำสงครามเล่าประวัติและ ความหมายของแม่น้ำสงครามจากตำนานสังข์สินไชย ตำนานกล่าวกันว่า พระราชธิดาของพระยาขอมได้ออกประพาสป่ากับเหล่าทหารและข้าราชบริพาร ระหว่างทางได้นอนหลับอยู่กลางป่า ขณะเดียวกันมีพญายักษ์ตนหนึ่งออกหาอาหาร และได้มาพบนางเข้าจึงเกิดหลงใหลในความงาม พญายักษ์จึงใช้มนต์สะกดให้ทหารหลับใหล จากนั้นจึงอุ้มนางไปซ่อนไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง ฝ่ายพระยาขอมเมื่อรู้ว่าพระราชธิดาหายไป จึงรับสั่งให้พระสังข์ทอง พระสินไชย และพระสีโหออกติดตามจนพบ จนเกิดทำสงครามกันขึ้นระหว่างมนุษย์กับยักษ์ ในบริเวณภูผาเหล็ก และภูผาหัก จนเกิดร่องน้ำกลายเป็นต้นน้ำสงคราม

ในบางความหมายมาจากภาษาอีสาน “สงคาม” แปลว่า ป่าคาม คือต้นคาม พืชพุ่มทรงเตี้ยใช้สำหรับย้อมผ้า หมู่บ้านภูตะคามซึ่งตั้งอยู่ต้นแม่น้ำสงคราม ชาวบ้านนิยมปลูกคามและย้อมผ้า บ้างก็ว่ามาจากคำว่า “ก่าม” ซึ่งกร่อนรูปมาเป็น คาม คือต้นก่ามที่ขึ้นอยู่มากริมแม่น้ำสงคราม เป็นพืชพุ่มเตี้ยใบใช้กินได้
ภายในงานมหกรรมปลาลุ่มน้ำสงคราม มีการจัดนิทรรศการของแต่ละตำบล มีงานออกร้าน มีการประกวด แข่งขัน และการแสดงบนเวที ตลอดจนมีการจัดเสวนาในหัวข้อ “สิทธิชาวบ้านในการจัดการลุ่มน้ำสงครามของหมู่เฮา”

สอง


ยามเย็นช่างเงียบสงบงดงามไม่แตกต่างจากความสลัวรางของยามเช้า ในขณะที่ความมืดค่อยๆ เลือนหายจากขอบฟ้า คลายโอบกอดจากค่ำคืนอันหนาวเย็น สายลมหอบไอชื้นจากแม่น้ำขึ้นมาอวลในอากาศหอมชื่น ภาพของแม่น้ำสีครามค่อยๆ สว่างเรืองขึ้นจากแสงแห่งดวงตะวันยามเช้า ในขณะที่ภาพของยามเย็น แม่น้ำเริ่มสลัวรางในม่านหมอกบางเบา เรือหาปลาของคนเฒ่าล่องลับหายไปจากโค้งน้ำ ปล่อยให้ความมืดคลี่คลุมอย่างช้าเชือน แสงสุดท้ายเลือนหายจากขอบฟ้าคราม ค่ำคืนมาเยือนอย่างเงียบงัน

ในขณะที่ยามเช้านำพาชีวิตสู่การตื่นฟื้นขึ้นมาพร้อมกับดวงอาทิตย์อันอบอุ่น ยามเย็นกลับนำพาเราสู่การผ่อนพักหลับไหลในค่ำคืนยาวนาน เพียงเพื่อให้เราได้ชื่นชมความงามของยามเช้าอีกครั้งหนึ่ง หรืออาจเพียงเพื่อให้เราได้รู้จักชื่นชมกับความงามของชีวิต

หากทว่าแม่น้ำสงคราม ไม่ว่าห้วงยามใดบนรอยต่อของทิวาและราตรี ภาพของแม่น้ำช่างเงียบสงบและงดงามด้วยสีคราม ดุจดังกระจกเงาที่ส่องสะท้อนซึ่งกันและกันระหว่างท้องฟ้าหรือผืนน้ำ สมดั่งสีคราม

สาม
ยามบ่ายที่ร้อนอบอ้าว สายลมเย็นจากแม่น้ำช่วยทำให้เรารู้สึกสดชื่นยิ่งขึ้น เมื่อเราเดินทางมาถึงปากแม่น้ำสงคราม ที่ไหลบรรจบรวมแม่น้ำโขงที่หมู่บ้านไชยบุรี ภาพของแม่น้ำสองสีที่ไหลรวมกลับกลายเป็นแม่น้ำสีเดียวกัน จากสีครามใสหลอมรวมอยู่ในความขุ่นข้น ภาพของแม่น้ำสองสายกลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน มันทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของผู้เฒ่าคนหนึ่ง “แม่น้ำโขงตาย แม่น้ำสงครามตาย”

แม่น้ำโขงช่วงนี้ช่างกว้างใหญ่ ฟากฝั่งตรงข้ามช่างห่างไกล ฉันเหม่อมองไกลไปจนสุดสายตา ภาพ แม่น้ำสว่างเรืองตรงเส้นขอบฟ้า หรือว่านั่นคือสุดขอบโลก เราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ไกลจากสุดขอบโลกออกไป ภาพของแม่น้ำโขงที่ฉันเริ่มหลงรักนี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร

ภาพแม่น้ำโขงกว้างใหญ่ ไร้เกาะแก่งและหินผา ทำให้ฉันหวนนึกกลับไปถึงแม่น้ำช่วงตอนบนที่กำลังถูกรุกรานอย่างหนัก การสร้างเขื่อนขวางกั้นแม่น้ำโขงในประเทศจีน การระเบิดเกาะแก่งหินผากลางลำน้ำเพื่อ ปรับปรุงร่องน้ำสำหรับการเดินเรือพานิชเพื่อการค้าของจีน

นับกี่ร้อยปีมาแล้ว แม่น้ำกี่ร้อยกี่พันสายทั่วโลกยังคงถูกกระทำชำเราไม่แตกต่างจากผู้คนพื้นเมืองของแผ่นดิน ไม่แตกต่างจากแม่น้ำสายนี้ แม่น้ำโขงที่ฉันเริ่มหลงรัก

“แม่น้ำโขงตอนบนถูกทำลาย แม่น้ำโขงตอนล่างตาย”

สี่
ค่ำคืนอันสงบเย็น ลมหนาวเริ่มพัดโชยบางเบาหอมหวาน คลื่นแม่น้ำก่อระลอกม้วนตัวเข้าหาชายฝั่ง ท้องฟ้า โปร่งเข้มด้วยสีน้ำเงิน เสี้ยวจันทร์และดวงดาววับแวมสวยงาม ไม่แตกต่างจากภาพแม่น้ำยามค่ำคืน แสงไฟตามบ้านเรือนริมฝั่งส่องสะท้อนวอมแสงบนผืนน้ำราวกับกลุ่มดวงดาวบนท้องฟ้า

เราเดินทางเลาะเรื่อยขึ้นมาตามริมฝั่งแม่น้ำโขง ราวการสำรวจเส้นทางเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจ หัวใจของผู้คนริมฝั่งลำน้ำ หรือหัวใจของแม่น้ำ จะแตกต่างกันอย่างไร หากหัวใจดวงใดดวงหนึ่งถูกทำร้าย หัวใจของแม่น้ำเจ็บปวด หัวใจของผู้คนริมฝั่งโขงย่อมเจ็บปวดรวดร้าว

หัวใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงนับแสนนับล้านคนรวมอยู่ที่นี่ ในหัวใจของแม่น้ำ

ฉันอำลาผู้คนริมฝั่งแม่น้ำโขงบนแผ่นดินอีสานมาอย่างเงียบๆ แม้ผู้คนบนแผ่นดินแห่งนี้จะไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของฉัน หากทว่า ฉันรับรู้การมีอยู่ของพวกเขาตลอดไป.

พิมพ์ครั้งแรก Mekong post ฉบับคิดถึงปลาบึก ๒๕๔๙

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๒

บันทึกเชียงของ

เมื่อเอ่ยถึงเชียงของ หลายคนคงคิดถึงเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่นักท่องเที่ยวมาเยือนก่อนเดินทางเข้าสู่ลาวเหนือและหลวงพระบาง

เชียงของเป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดเชียงราย มีแม่น้ำโขงไหลแบ่งเป็นเส้นพรมแดนไทย-ลาวตอนเหนือ หลายคนที่ต้องมนตร์เสน่ห์แห่งเชียงของคงมิใช่เพราะเชียงของเป็นสะพานข้ามไปสู่ประเทศลาวเท่านั้น แต่เป็นเพราะความสงบเงียบของเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง ความงดงามของเกาะแก่งหินผาในแม่น้ำโขง และวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของผู้คนที่นี่ รวมถึงความมีน้ำใจไมตรีของพวกเขา

ฤดูกาลหมุนเวียนอยู่ที่นี่ เมื่อถึงฤดูฝน ชาวไร่ชาวนาเริ่มทำงานในไร่นาของตน ชาวประมงลงเรือหาปลาในแม่น้ำโขง เพราะเป็นช่วงที่ปลาเดินทางทวนน้ำขึ้นมาเพื่อหาที่วางไข่ และจะอพยพกลับเมื่อระดับน้ำลดลงในช่วงฤดูหนาว เรียกได้ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในป่ามีพืชผักเห็ดหน่อไม้ให้เก็บกิน ครั้นถึงฤดูหนาว ระดับน้ำโขงเริ่มลดลง ชาวบ้านจะลงมาปลูกพืชผักริมฝั่งแม่น้ำโขง แม่น้ำจะเริ่มงดงามในช่วงนี้เพราะน้ำลดระดับลงมากจนเห็นหินงามน้ำใส สายไกสีเขียวไหวพลิ้วราวแพรไหมงอกงามตามหินตามผาและหาดหินที่แสงแดดส่องถึง ชาวบ้านจะลงมาเดินเก็บไกอยู่ตามหาดหินในทุกๆ เช้า เช่นเดียวกับชาวประมงยังคร่ำเคร่งลอยเรือไหลมองของตน

ครั้นเมื่อดอกซอมพอแย้มบานในหน้าร้อน เด็กๆ ต่างเฝ้ามองนกนางนวลเหนือเส้นขอบฟ้า และรอคอยฝูงปลาบึกเดินทางออกจากวังบาดาลขึ้นมาวางไข่ตามห้วงน้ำลึกเหนือเมืองขึ้นไป เด็กๆ และคนหนุ่มสาวจะลงมาเล่นน้ำในแม่น้ำโขง ช่วงนี้ยังมีงานปีใหม่เมือง งานบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก และงานบวงสรวงเจ้าพ่อผาถ่านอันเป็นประเพณีสืบทอดต่อกันมาของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำโขง

นอกจากนี้ เชียงของยังมีร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง และนี่คือเรื่องราวของเมืองเชียงของ เป็นบันทึกจากร้านกาแฟที่ว่านี้


วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑


คำนำ

ในร้านกาแฟเล็กๆ ริมฝั่งโขง



เมื่อสายลมฤดูหนาวมาเยือน ทุกๆ เช้า ฉันชอบขี่รถจักรยานมายังร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ร้านกาแฟถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์ด้วยสายลมโชยพลิ้ว มีเสียงเพลงไพเราะ มีหนังสือให้หยิบออกมานั่งอ่านบนโต๊ะไม้ใต้เงาเสี้ยวซึ่งกำลังผลิดอกสีชมพูม่วงอ่อนหวาน

หนุ่มผู้ดูแลร้านออกตัวว่า เขาไม่ใช่เจ้าของร้าน เขาเป็นแค่เพียงคนชงกาแฟเท่านั้น แม้เขาจะดูเงียบๆ พูดน้อย แต่เขากลับมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับผู้คนของที่นี่

ท่วงท่าการกลั่นชงกาแฟของเขาดูกลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกับร้าน เคลื่อนไหวในท่วงทำนองอันผ่อนคลาย ราวกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของร้านกาแฟ หากไม่มีเขาอาจจะไม่มีร้านกาแฟ และหากไม่มีร้านกาแฟ ก็คงไม่มีเขาท่าทางของเขาทำให้ฉันนึกไปถึงร้านกาแฟเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ฉันพบเจอร้านกาแฟแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน ฉันเรียกมันว่า “ร้านกาแฟแห่งความฝัน” มันเป็นเหมือนกับความฝันที่ถูกก่อร่างขึ้นร่วมกัน แม้เพียงเวลาไม่นานนัก ร้านนั้นจะปิดตัวลง แต่ฉันเชื่ออยู่เสมอว่า ความฝันนั้นไม่เคยมอดดับ

ฉันเชื่อว่า ร้านกาแฟเล็กๆ เหล่านี้ก่อเกิดขึ้นมาจากความฝัน หนุ่มสาวหลายคนใฝ่ฝันอยากมีร้านกาแฟเป็นของตัวเอง แต่จะมีใครสักกี่คนที่เดินทางมาถึงปลายทางแห่งความฝัน

ทุกๆ เช้า ฉันจึงมาเยือนร้านกาแฟแห่งนี้ ด้วยหลงรักในความสงบเงียบเรียบง่ายของร้าน หลงรักในเสียงเพลง รสอันหอมกรุ่นของชา กาแฟ และบรรยากาศริมฝั่งโขง เปล่าเลย ฉันมิได้ใฝ่ฝันอยากมีร้านกาแฟกับเขาดอก ฉันแค่ฝันอยากเขียนหนังสือดีๆ ให้ได้สักเล่มหนึ่งเท่านั้น

ฉันอยากให้หนังสือเล่มนั้นเรียบง่าย ส่งมอบความดีงามแก่คนอ่าน เช่นเดียวกับการมาเยือนของยามเช้า ดวงอาทิตย์สาดแสงแดดอันอบอุ่นแก่มวลชีวิต สายลมโชยชื่นเฝ้าคอยปลอบประโลม สายน้ำฉ่ำเย็นหลากไหลไปหล่อเลี้ยงผู้คน ต้นไม้แผ่ใบเอื้อร่มเงา หรือดั่งเช่นดอกหญ้าปรายยิ้มแด่คนพเนจร

อาจเช่นเดียวกับการผลิบานและร่วงโรยของดอกไม้ใบหญ้า ผลิบานแล้วร่วงโรย เพื่อผลิบานอีกครั้ง.

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ลอยไปกับสายน้ำ๒

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

ฉันมองเห็นเธอในสายฝน


สายฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง อากาศเย็นเยือก ฉันไขว่คว้าควานหาความอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ไขว่คว้าความหอมหวานจากห้วงหลับไหล หน่วงเหนี่ยวความฝันให้ยาวนานนิรันดร์
รถจิ๊ปซูซูกิสีเขียวพาเราฝ่าม่านหมอกฝนมุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านปากอิงใต้เมื่อสายมากแล้ว ฝนยังพร่างพรายลงมาจนมองเห็นเป็นม่านหมอกฝนอันบางเบาโอบกอดเทือกเขา เช่นเดียวกับกลุ่มหมอกที่ละเลียดลอยจากความดิบชื้นของพื้นดินขึ้นปรกคลุมยอดสันเขา ในขณะเดียวกัน เทือกเขาซึ่งทอดวางแนวสลับซับซ้อนสองเทือกระหว่างฟากฝั่งแม่น้ำโขงได้โอบล้อมหมู่บ้านไว้ในอ้อมแขน ให้ความรู้สึกอันอบอุ่นยิ่ง ทำให้ฉันนึกถึงบทกวีเก่าๆ ชิ้นหนึ่ง ฉันเขียนเอาไว้ว่า
ขุนเขา
โอบกอดเราไว้
หมอก
โอบกอดขุนเขา
หลังจากดับเครื่องยนต์ เราเดินมุ่งหน้าสู่ท่าเทียบเรือของชาวบ้าน ฉันมองดูระดับน้ำที่สูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนเพราะฝนที่ตกติดต่อกันหลายวัน ความแรงของน้ำที่ไหลและสีอันขุ่นข้นราวกับสีกาแฟเย็น ซึ่งเกิดจากตะกอนดิน ฉันมองดูร่องรอยการพังทลายของตลิ่งในฤดูน้ำหลากเมื่อปีที่แล้ว ปีกลายมีฝนตกหนัก แม่น้ำโขงมีระดับสูงขึ้นมากจนเกือบล้นตลิ่ง ชาวบ้านเฝ้ามองดูสายน้ำด้วยความหวาดหวั่นพรั่นกลัว ทุกคนต้องช่วยกันนำไม้ไผ่มาปักกันริมตลิ่งเอาไว้ ก่อนถมกระสอบทรายลงไปเพื่อเสริมเป็นผนังกั้นน้ำ แต่เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถล่มทลายและสูญหายไปกับสายน้ำ พร้อมด้วยพื้นแผ่นดินของชาวบ้านตลอดแนวอีกกว่า 800 ตารางวา
หากทว่าในปีนี้ ระดับน้ำยังอ้อยอิ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าตลิ่งเกือบสิบเมตร ในปริมาณฝนที่ตกลงมาเพียงไม่กี่ครั้งของฤดูกาลนี้ ถึงกระนั้น ชาวบ้านยังนึกหวาดหวั่นว่า ในเดือนสิงหาคมและกันยายน หมู่บ้านอาจต้องเผชิญกับโชคชะตาไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา
เมื่อฝนตกลงมา น้ำเพิ่มระดับสูงขึ้น อันเป็นช่วงเวลาที่ปลาเริ่มเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ปลาในแม่น้ำโขงเกือบทุกชนิด ทั้งปลาหนังและปลาเกล็ด เริ่มอพยพเดินทางขึ้นมาตามลำน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก ราวต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อขึ้นมาหาอาหารและวางไข่ตามเกาะแก่ง หรือลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง ก่อนอพยพกลับเมื่อระดับน้ำเริ่มลดลงในช่วงฤดูหนาว
ช่วงเวลาที่น้ำขึ้น จึงเป็นช่วงที่พรานปลาในหมู่บ้านจากสองฝั่งฟากลอยเรือออกหาปลา ด้วยเครื่องมือหาปลาอันเกิดจากการสะสมภูมิปัญญาพื้นบ้าน จากประสบการณ์อันยาวนานของพรานปลา และจากการมีวิถีชีวิตที่ผูกพันอยู่กับแม่น้ำโขง จนล่วงรู้ถึงช่วงฤดูกาลการอพยพของปลา ระบบนิเวศและแหล่งพำนักวางไข่ของปลา รวมถึงรู้ว่าเครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่งๆ เหมาะสำหรับปลาชนิดใดบ้าง
ฉันไต่ลงไปตามทางดินลาดชัน เพื่อถ่ายภาพของคนหาปลาที่กำลังปล่อยมองไหลบริเวณปากแม่น้ำอิงซึ่งไหลออกมารวมกับแม่น้ำโขง เราสามารถมองเห็นสีอันแตกต่างของแม่น้ำทั้งสองสายนี้ แม่น้ำอิงมีสีขุ่นขาวและจางใสกว่าแม่น้ำโขงซึ่งขุ่นแดง จึงทำให้เรามองเห็นการไหลของแม่น้ำอิงก่อนรวมกับแม่น้ำโขงได้อย่างชัดเจน
สายฝนยังโปรยปรายลงมาบางเบา ฉันอาศัยร่มเงาของก่อไผ่บนแผ่นดินที่ทรุดตัวลงเมื่อปีก่อน เพื่อเก็บภาพเรือที่ลอยลำอยู่เหนือสายน้ำอย่างคราคร่ำและคึกครื้น มีเรือเกือบสามสิบลำไหล ’มอง’ อยู่บริเวณนี้ เรือทุกลำจะมาจ่อคิวรออยู่บริเวณกลางแม่น้ำโขง ติดเครื่องทวนกระแสน้ำขึ้นไปต่อคิวเป็นแถวเป็นแนว คนที่สองจะเริ่มต้นไหล ’มอง’ หลังจากคนแรกปล่อย ’มอง’ ได้สักพักหนึ่ง เขาจะขับเรือพุ่งขึ้นไปเหนือปากแม่น้ำอิง จากนั้นปล่อยให้เรือแล่นลอยเข้าหาปากแม่น้ำ แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์พาเรือไหลโค้งไปตามแรงดันของแม่น้ำ ในขณะที่พรานปลาปล่อย ‘มอง’ ที่กองอยู่ในเรือจนได้ระยะที่ต้องการ จากนั้นจะดับเครื่องยนต์แล้วค่อยๆ พายเรือไปตามริมฝั่ง โดยสังเกตดูลูกบอลที่ถ่วงลอยอยู่กลางแม่น้ำและแรงกระตุกของ ‘มอง’ ในมือ พรานปลาจะรู้ว่ามีปลาว่ายเข้ามาติดหรือไม่ ก็จากแรงกระตุกนี้ จนกระทั่งได้เวลาจึงสาวมองเก็บ
วันนี้ชาวบ้านทุกคนได้ปลากันถ้วนหน้า มากบ้างน้อยบ้างตามช่วงจังหวะของการไหล ‘มอง’ และ การว่ายขึ้นมาของปลา ใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา บ้างพูดคุยและหยอกล้อกันอยู่กลางลำน้ำ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายให้ความชุ่มชื่นแก่ขุนเขา สายน้ำ พื้นดิน และให้ความชุ่มชื่นแก่หัวใจของชาวบ้านที่นี่ทุกคน
หลังจากได้ภาพปลาและเรือหาปลาตามที่ต้องการ เรากลับขึ้นมานั่งบนม้าหินใต้ร่มคันใหญ่ ฉันเฝ้ามองชาวบ้านที่กำลังหาปลาด้วยความรู้สึกปีติอย่างประหลาด ราวกับตัวฉันเองเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ และหมู่บ้านแห่งนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
สายฝนเริ่มพร่างพรูลงมาหนาหนัก จนมองเห็นเป็นฝ้าสีขาวหม่นมัวปรกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ปรกคลุมเทือกเขา แม่น้ำ และเรือหาปลาที่ยังลอยล่องอยู่กลางลำน้ำอย่างมิระย่อต่อสายฝน
สายฝนยังพรูพรายสวยงาม เทือกเขาทอดร่างอันเหยียดยาวและสลับซับซ้อน แม่น้ำโขงขุ่นข้นโค้งไหลคดเคี้ยว บนเรือของคนหาปลา ฉันมองเห็นใบหน้าทุกใบหน้าแย้มยิ้ม
ฉันมองเห็นภาพของเธอในสายฝน
แม่น้ำที่รักของฉัน.

พิมพ์ครั้งแรก Mekong post ฉบับเลยไปเลย... 2549

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ลอยไปกับสายน้ำ ๑


ลอยไปกับสายน้ำ ๑
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล


คืนนี้ที่เชียงของ


๑ ภาพแม่น้ำ
ฉันนึกแปลกใจอยู่เสมอว่า เหตุใดคนเราจึงมีความผูกพันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ โดยเฉพาะความผูกพันที่มีต่อธรรมชาติ บางคนผูกพันตัวเองกับป่าเขา แม่น้ำ หรือท้องทะเล บางคนผูกพันตัวเองกับท้องฟ้า ดวงดาวแห่งค่ำคืน บางคนผูกพันตัวเองอยู่กับฤดูกาล ไม่ว่าเราดำรงชีวิตอยู่ ณ ตำแหน่งใดของโลกใบนี้ แม้ในระหว่างการพเนจรหรือยามห่างร้างไกลจากแผ่นดินของบ้านเกิด มนุษย์เฝ้าค้นหาพื้นที่อันเงียบสงบในจิตใจเพื่อเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติที่เขาและเธอเคยผูกพันอยู่ในอดีต
อาจเป็นไปได้ว่า มนุษย์เรามักพยายามเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่บน ส่วนใดของแผ่นดินโลก โหยหาที่จะหวนกลับคืน เช่นเดียวกับผู้คนในสมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แม้ว่ากาลเวลาจะฉุดให้โลกก้าวไปไกลเพียงใดก็ตาม
เช่นเดียวกับฉัน แม้จะพาตัวเองมาไกลจนสุดเขตพรมแดนในจังหวัดเชียงราย นามของเธอมีความ ผูกพันอยู่กับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงมาจากเทือกเขาในทิเบต ผ่านมณฑลยูนนานของประเทศจีน พม่า ลาว ไทย เขมรและเวียดนาม บนรอยต่อระหว่างไทย - ลาวมีแม่น้ำสายนี้ขวางกั้น นามของเธอผูกพันอยู่กับปลาบึกใหญ่ที่กำลังจะสูญพันธุ์ นามของเธอ –เชียงของ-
เมื่อฉันเดินทางจากบ้านมาไกลจนสุดปลายเขตแดนของแผ่นดิน สู่แม่น้ำอีกสายหนึ่งที่ฉันฝันถึงการมาเยือนอยู่เสมอ –แม่น้ำโขง- เช่นเดียวกับสายน้ำที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของฉัน
หลายครั้งคราด้วยกันในยามเย็นย่ำบนแผ่นดินของบ้านเกิด ขณะนั่งมองดวงอาทิตย์แผ่ประกายสีส้มอมแดงเหนือความเวิ้งว้างของท้องทุ่งน้ำนิ่งสงบ เรือน้อยลอยลำหาปลาเดียวดาย ขณะเดียวกับลำลองของอาจารย์ ฉวีวรรณ ล่องลอยมาจากรายการเพลงในวิทยุทรานซิสเตอร์ หวานเศร้าและวังเวง เคล้าคลอเสียงพิณเสียงแคน ฉันเฝ้าแต่จินตนาการถึงภาพของแม่น้ำโขง ที่เคยพบเห็นจากภาพถ่ายสารคดี ภาพเบื้องหน้าของฉันยามนั้นดูไม่แตกต่างกันนักเลย
โดยที่ฉันไม่เคยสำเหนียกรู้มาก่อนเลยว่า แท้จริงแล้วมิใช่มีเพียงจังหวัดทางภาคอีสานเท่านั้นที่อยู่ติดแม่น้ำโขง หากยังมีจังหวัดทางภาคเหนือด้วยเช่นกัน
ยามเย็นของที่นี่ชักพาฉันมาสู่ริมแม่น้ำโขงเสมอ เดินอ้อยอิ่งอยู่บนสันเขื่อนริมน้ำ เฝ้ามองความเป็นไปที่เกิดขึ้นบนแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่งฟาก โดยเฉพาะฟากฝั่งตะวันตกที่ฉันยืนอยู่นี้ ถนนเหนือผนังกันน้ำกัดเซาะตลิ่งเป็นแนวยาวหลายช่วงตอน (เป็นผลกระทบจากการสร้างเขื่อนตอนบนของแม่น้ำ) ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ปลาบึกและปลาน้ำจืด บริเวณหาดไคร้ทางทิศใต้ ถัดมาเป็นสถานีตำรวจ ท่าเรือ ด่านศุลกากร จนไปถึงท่าเรือน้ำลึกที่กำลังก่อสร้างขึ้นใหม่ทางตอนเหนือขึ้นไป ตลอดแนวสลับแซมอยู่ด้วยเกต์สเฮาส์ อารามวัดและสถานที่ของราชการ
แม่น้ำโขงไหลอย่างเงียบงัน บางตอนเกรี้ยวกราดเข้ากระแทกกระทั้นเกาะแก่งแตกฟองกระเซ็นขาว บนแผ่นดินฝั่งตรงข้าม บ้านเรือนของเมืองห้วยทรายตั้งวางกระจัดกระจายลดหลั่นไปตามไหล่เขา เสียงเพลงอันคุ้นเคยลอยล่องข้ามมาจากฝั่งฟาก เสียงระฆังดังแว่วมาจากวัด เสียงนกร้องตามสุมทุมพุ่มไม้ เสียงเรือเครื่องครางแผ่วโผยล่องขึ้นมาตามลำน้ำ สายลมเย็นชื่น ความชื้นของแม่น้ำระเหิดระเหยขึ้นมาอวลร่ำในอากาศ
ท้องฟ้าหม่นมัวขึ้นทีละน้อย ความสลัวบางเบาแผ่คลุมอยู่รอบด้าน ฉันเฝ้ามองดูเดือนหงายท่ามกลางความหม่นมัว พระจันทร์ซีดจางอวบอ้วนขึ้นกว่าหลายวันก่อน ความมืดค่อยๆ ขับให้พระจันทร์เปล่งประกายเศร้า อ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นทีละน้อย ฉันได้แต่เฝ้าหวังและรอคอย ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
ไม่ว่าฉันจะอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเพียงใด ภาพของดวงจันทร์ยังเฝ้าติดตามฉันอยู่เสมอ หรือว่าฉันกันแน่นะ ที่เฝ้าติดตามภาพของดวงจันทร์อันเร้นลับในหัวใจ

๒ ยามเช้า
ฉันตื่นขึ้นมาแต่เช้า เดินจากห้องพักมุ่งสู่แม่น้ำ ระดับของน้ำสูงขึ้นกว่าหลายวันก่อน ทว่าแม่น้ำโขงยังครองตัวไหลอย่างเงียบสงบ แผ่กว้างยาวไกล ล่องลับหายเข้าไปในฟากฝั่งของแผ่นดินเบื้องหน้า
ท้องฟ้งยังหม่นมัวด้วยเมฆ ความเย็นเยือกของสายฝนที่ตกในค่ำคืนยังอวลอายในอากาศ หมอก เรี่ยลอยขึ้นจากหุบเขากลืนหายสู่หมู่เมฆเบื้องบน เทือกเขาทอดร่างเหยียดยาวโอบกอดซึ่งกันและกัน
อากาศยามเช้าสดชื่นและเงียบสงบ ท่ามกลางเสียงนกร้องร่ำและเสียงไก่ขันขาน เสียงระฆังจากโบสถ์ผสมผสานด้วยเสียงสวดสาธยายมนต์แว่วข้ามมาจากฝั่งลาว เรือหาปลาของชาวประมงจากสองฟากฝั่ง ปล่อยมอง*ไหลล่องอยู่กลางลำน้ำ ชีวิตเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายในบรรยากาศอันเงียบงัน เรียบเรื่อยดุจสายน้ำไหล
แสงแดดสาดต้องทิวเขาห่างไกล ขับไล่มวลหมอกอย่างสงบงัน หากหมู่เมฆยังไม่ยอมปลดปล่อยแสงแดดลงมาอย่างเต็มที่ ดวงอาทิตย์ยังหลบซ่อนอยู่ในม่านหนาทึบ สายหมอกลอยลับหายไปในฟากฟ้า กลืนหายเข้าไปในหมู่เมฆ เช่นเดียวกับเรือข้ามฟากกลืนหายเข้าไปในฟากแผ่นดินลาว เสียงเครื่องยนต์กลืนหายไปในความเงียบ
อาจมีเพียงนามของประเทศเท่านั้นที่แบ่งแยกผู้คนออกจากกัน ด้วยว่าสายน้ำมิอาจแยกผู้คนสอง ฟากฝั่งให้ขาดจากกันได้ วิถีชีวิตของผู้คนริมแม่น้ำโขงยังร้อยรัดและสอดกลืนอยู่เดียวกัน เช่นเดียวกับภาษาและวัฒนธรรม แม้จะมีความแตกต่าง หากยังเชื่อมโยงสานสายสัมพันธ์ต่อกัน
เช่นเดียวกับกรวดหินและเม็ดทราย วางตัวอยู่ด้วยกันริมฝั่งน้ำ
ต้นไม้ใหญ่และพืชหญ้าขึ้นอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน
ชีวิตต่างร้อยรัดสัมพันธ์
แม้ว่าทั้งมวลของที่นี่ดูจะเป็นภาพที่แปลกตามากเพียงใด หากทว่ากลับคุ้นเคยยิ่ง

๓ คืนเพ็ญ
แล้วในคืนที่เราต่างรอคอยก็มาถึง ค่ำคืนที่ฉันถือกำเนิดขึ้นและตายลงอีกครั้งหนึ่ง ใช่ล่ะ ฉันเกิดและตายลงในวันเดียวกันนี้ ชีวิตหล่นร่วงลงอีกครั้งหนึ่ง ราวกับต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเคยผลิใบอันเขียวสดงดงาม ทว่ากลับเหลืองแห้งและร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างเงียบงัน ดั่งที่เคยเป็นมาแต่อดีต
ความมืดโรยตัวลงอย่างรวดเร็ว หลังอาบน้ำจนรู้สึกสดชื่น เดินออกจากบ้านพักในซอย ทักทายกับผู้คนที่เริ่มคุ้นเคย เด็กๆ ที่ยังเล่นกันอยู่หน้าบ้าน พวกเขามองดูฉันด้วยสายตาหวาดระแวง กระซิบกระซาบซึ่งกันและกัน ขณะเฝ้ามองฉันเดินผ่าน
“ผีบ้า พวกผีบ้า”
พวกเขากระซิบผ่านกันและกันด้วยไม่คิดว่าฉันจะได้ยิน ฉันหันกลับมามองและยิ้มให้พวกเขา ยิ้มให้กับความคิดของพวกเขาที่มีต่อฉัน
เด็กๆ มองดูรอยยิ้มของฉันด้วยความหวาดหวั่น
ฉันเดินมุ่งหน้าสู่แม่น้ำเหมือนทุกวัน นกนางแอ่นหลายตัวบินโฉบแมลงอยู่ในอากาศเหนือผิวน้ำ แสงไฟ วอมแวมจากฝั่งตรงข้าม เสียงเครื่องยนต์ครางแผ่ว แว่วเสียงเพลงล่องลอยข้ามฟาก ฉันก้าวลงบันไดสู่ริมแม่น้ำ เฝ้ามองพระจันทร์เพ็ญสีเศร้า แสงจันทร์ให้ความรู้สึกอันอ่อนโยนและอบอุ่นดุจเดียวกับอ้อมกอดของแม่
สำหรับฉันแล้ว ความรักของแม่นั้นแสนงาม เศร้า และอ่อนโยน เช่นเดียวกับแสงจันทร์ยามนี้ เศร้า งามและอ่อนโยน แม้อยู่บนแผ่นดินที่ไกลห่างจากบ้านเกิดและอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่
ค่ำคืนช่างเงียบสงบเหลือเกิน เสียงจากภายนอกมิอาจรบกวนความสงบงันในใจ ดวงจันทร์ถักทอแสงใยอันงามกระจ่าง
แม่น้ำยังคงล่องไหลในความมืดอันไม่สิ้นสุด
ชีวิตยังคงล่องไหลไม่สิ้นสุดดุจเดียวกับสายน้ำ
ทว่าในค่ำคืนนี้ ราวกับฉันได้เดินทางมาถึงแก่นกลางของชีวิต เส้นทางที่ผ่านมานั้นช่างยาวไกลเหลือเกิน เช่นเดียวกับสายทางที่ฉันยังต้องย่ำเดินต่อไปข้างหน้า
ฉันให้รู้สึกเอมอิ่มและสุขใจอย่างประหลาดกับแสงจันทร์กระจ่างในค่ำคืนนี้.

* เครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่งที่ใช้ในแม่น้ำโขง
พิมพ์ครั้งแรก Mekong Post ฉบับสวัสดีเชียงของ 2549