วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ลอยไปกับสายน้ำ๒

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

ฉันมองเห็นเธอในสายฝน


สายฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง อากาศเย็นเยือก ฉันไขว่คว้าควานหาความอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ไขว่คว้าความหอมหวานจากห้วงหลับไหล หน่วงเหนี่ยวความฝันให้ยาวนานนิรันดร์
รถจิ๊ปซูซูกิสีเขียวพาเราฝ่าม่านหมอกฝนมุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านปากอิงใต้เมื่อสายมากแล้ว ฝนยังพร่างพรายลงมาจนมองเห็นเป็นม่านหมอกฝนอันบางเบาโอบกอดเทือกเขา เช่นเดียวกับกลุ่มหมอกที่ละเลียดลอยจากความดิบชื้นของพื้นดินขึ้นปรกคลุมยอดสันเขา ในขณะเดียวกัน เทือกเขาซึ่งทอดวางแนวสลับซับซ้อนสองเทือกระหว่างฟากฝั่งแม่น้ำโขงได้โอบล้อมหมู่บ้านไว้ในอ้อมแขน ให้ความรู้สึกอันอบอุ่นยิ่ง ทำให้ฉันนึกถึงบทกวีเก่าๆ ชิ้นหนึ่ง ฉันเขียนเอาไว้ว่า
ขุนเขา
โอบกอดเราไว้
หมอก
โอบกอดขุนเขา
หลังจากดับเครื่องยนต์ เราเดินมุ่งหน้าสู่ท่าเทียบเรือของชาวบ้าน ฉันมองดูระดับน้ำที่สูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนเพราะฝนที่ตกติดต่อกันหลายวัน ความแรงของน้ำที่ไหลและสีอันขุ่นข้นราวกับสีกาแฟเย็น ซึ่งเกิดจากตะกอนดิน ฉันมองดูร่องรอยการพังทลายของตลิ่งในฤดูน้ำหลากเมื่อปีที่แล้ว ปีกลายมีฝนตกหนัก แม่น้ำโขงมีระดับสูงขึ้นมากจนเกือบล้นตลิ่ง ชาวบ้านเฝ้ามองดูสายน้ำด้วยความหวาดหวั่นพรั่นกลัว ทุกคนต้องช่วยกันนำไม้ไผ่มาปักกันริมตลิ่งเอาไว้ ก่อนถมกระสอบทรายลงไปเพื่อเสริมเป็นผนังกั้นน้ำ แต่เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถล่มทลายและสูญหายไปกับสายน้ำ พร้อมด้วยพื้นแผ่นดินของชาวบ้านตลอดแนวอีกกว่า 800 ตารางวา
หากทว่าในปีนี้ ระดับน้ำยังอ้อยอิ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าตลิ่งเกือบสิบเมตร ในปริมาณฝนที่ตกลงมาเพียงไม่กี่ครั้งของฤดูกาลนี้ ถึงกระนั้น ชาวบ้านยังนึกหวาดหวั่นว่า ในเดือนสิงหาคมและกันยายน หมู่บ้านอาจต้องเผชิญกับโชคชะตาไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา
เมื่อฝนตกลงมา น้ำเพิ่มระดับสูงขึ้น อันเป็นช่วงเวลาที่ปลาเริ่มเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ปลาในแม่น้ำโขงเกือบทุกชนิด ทั้งปลาหนังและปลาเกล็ด เริ่มอพยพเดินทางขึ้นมาตามลำน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก ราวต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อขึ้นมาหาอาหารและวางไข่ตามเกาะแก่ง หรือลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง ก่อนอพยพกลับเมื่อระดับน้ำเริ่มลดลงในช่วงฤดูหนาว
ช่วงเวลาที่น้ำขึ้น จึงเป็นช่วงที่พรานปลาในหมู่บ้านจากสองฝั่งฟากลอยเรือออกหาปลา ด้วยเครื่องมือหาปลาอันเกิดจากการสะสมภูมิปัญญาพื้นบ้าน จากประสบการณ์อันยาวนานของพรานปลา และจากการมีวิถีชีวิตที่ผูกพันอยู่กับแม่น้ำโขง จนล่วงรู้ถึงช่วงฤดูกาลการอพยพของปลา ระบบนิเวศและแหล่งพำนักวางไข่ของปลา รวมถึงรู้ว่าเครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่งๆ เหมาะสำหรับปลาชนิดใดบ้าง
ฉันไต่ลงไปตามทางดินลาดชัน เพื่อถ่ายภาพของคนหาปลาที่กำลังปล่อยมองไหลบริเวณปากแม่น้ำอิงซึ่งไหลออกมารวมกับแม่น้ำโขง เราสามารถมองเห็นสีอันแตกต่างของแม่น้ำทั้งสองสายนี้ แม่น้ำอิงมีสีขุ่นขาวและจางใสกว่าแม่น้ำโขงซึ่งขุ่นแดง จึงทำให้เรามองเห็นการไหลของแม่น้ำอิงก่อนรวมกับแม่น้ำโขงได้อย่างชัดเจน
สายฝนยังโปรยปรายลงมาบางเบา ฉันอาศัยร่มเงาของก่อไผ่บนแผ่นดินที่ทรุดตัวลงเมื่อปีก่อน เพื่อเก็บภาพเรือที่ลอยลำอยู่เหนือสายน้ำอย่างคราคร่ำและคึกครื้น มีเรือเกือบสามสิบลำไหล ’มอง’ อยู่บริเวณนี้ เรือทุกลำจะมาจ่อคิวรออยู่บริเวณกลางแม่น้ำโขง ติดเครื่องทวนกระแสน้ำขึ้นไปต่อคิวเป็นแถวเป็นแนว คนที่สองจะเริ่มต้นไหล ’มอง’ หลังจากคนแรกปล่อย ’มอง’ ได้สักพักหนึ่ง เขาจะขับเรือพุ่งขึ้นไปเหนือปากแม่น้ำอิง จากนั้นปล่อยให้เรือแล่นลอยเข้าหาปากแม่น้ำ แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์พาเรือไหลโค้งไปตามแรงดันของแม่น้ำ ในขณะที่พรานปลาปล่อย ‘มอง’ ที่กองอยู่ในเรือจนได้ระยะที่ต้องการ จากนั้นจะดับเครื่องยนต์แล้วค่อยๆ พายเรือไปตามริมฝั่ง โดยสังเกตดูลูกบอลที่ถ่วงลอยอยู่กลางแม่น้ำและแรงกระตุกของ ‘มอง’ ในมือ พรานปลาจะรู้ว่ามีปลาว่ายเข้ามาติดหรือไม่ ก็จากแรงกระตุกนี้ จนกระทั่งได้เวลาจึงสาวมองเก็บ
วันนี้ชาวบ้านทุกคนได้ปลากันถ้วนหน้า มากบ้างน้อยบ้างตามช่วงจังหวะของการไหล ‘มอง’ และ การว่ายขึ้นมาของปลา ใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา บ้างพูดคุยและหยอกล้อกันอยู่กลางลำน้ำ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายให้ความชุ่มชื่นแก่ขุนเขา สายน้ำ พื้นดิน และให้ความชุ่มชื่นแก่หัวใจของชาวบ้านที่นี่ทุกคน
หลังจากได้ภาพปลาและเรือหาปลาตามที่ต้องการ เรากลับขึ้นมานั่งบนม้าหินใต้ร่มคันใหญ่ ฉันเฝ้ามองชาวบ้านที่กำลังหาปลาด้วยความรู้สึกปีติอย่างประหลาด ราวกับตัวฉันเองเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ และหมู่บ้านแห่งนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
สายฝนเริ่มพร่างพรูลงมาหนาหนัก จนมองเห็นเป็นฝ้าสีขาวหม่นมัวปรกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ปรกคลุมเทือกเขา แม่น้ำ และเรือหาปลาที่ยังลอยล่องอยู่กลางลำน้ำอย่างมิระย่อต่อสายฝน
สายฝนยังพรูพรายสวยงาม เทือกเขาทอดร่างอันเหยียดยาวและสลับซับซ้อน แม่น้ำโขงขุ่นข้นโค้งไหลคดเคี้ยว บนเรือของคนหาปลา ฉันมองเห็นใบหน้าทุกใบหน้าแย้มยิ้ม
ฉันมองเห็นภาพของเธอในสายฝน
แม่น้ำที่รักของฉัน.

พิมพ์ครั้งแรก Mekong post ฉบับเลยไปเลย... 2549

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ลอยไปกับสายน้ำ ๑


ลอยไปกับสายน้ำ ๑
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล


คืนนี้ที่เชียงของ


๑ ภาพแม่น้ำ
ฉันนึกแปลกใจอยู่เสมอว่า เหตุใดคนเราจึงมีความผูกพันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ โดยเฉพาะความผูกพันที่มีต่อธรรมชาติ บางคนผูกพันตัวเองกับป่าเขา แม่น้ำ หรือท้องทะเล บางคนผูกพันตัวเองกับท้องฟ้า ดวงดาวแห่งค่ำคืน บางคนผูกพันตัวเองอยู่กับฤดูกาล ไม่ว่าเราดำรงชีวิตอยู่ ณ ตำแหน่งใดของโลกใบนี้ แม้ในระหว่างการพเนจรหรือยามห่างร้างไกลจากแผ่นดินของบ้านเกิด มนุษย์เฝ้าค้นหาพื้นที่อันเงียบสงบในจิตใจเพื่อเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติที่เขาและเธอเคยผูกพันอยู่ในอดีต
อาจเป็นไปได้ว่า มนุษย์เรามักพยายามเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่บน ส่วนใดของแผ่นดินโลก โหยหาที่จะหวนกลับคืน เช่นเดียวกับผู้คนในสมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แม้ว่ากาลเวลาจะฉุดให้โลกก้าวไปไกลเพียงใดก็ตาม
เช่นเดียวกับฉัน แม้จะพาตัวเองมาไกลจนสุดเขตพรมแดนในจังหวัดเชียงราย นามของเธอมีความ ผูกพันอยู่กับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงมาจากเทือกเขาในทิเบต ผ่านมณฑลยูนนานของประเทศจีน พม่า ลาว ไทย เขมรและเวียดนาม บนรอยต่อระหว่างไทย - ลาวมีแม่น้ำสายนี้ขวางกั้น นามของเธอผูกพันอยู่กับปลาบึกใหญ่ที่กำลังจะสูญพันธุ์ นามของเธอ –เชียงของ-
เมื่อฉันเดินทางจากบ้านมาไกลจนสุดปลายเขตแดนของแผ่นดิน สู่แม่น้ำอีกสายหนึ่งที่ฉันฝันถึงการมาเยือนอยู่เสมอ –แม่น้ำโขง- เช่นเดียวกับสายน้ำที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของฉัน
หลายครั้งคราด้วยกันในยามเย็นย่ำบนแผ่นดินของบ้านเกิด ขณะนั่งมองดวงอาทิตย์แผ่ประกายสีส้มอมแดงเหนือความเวิ้งว้างของท้องทุ่งน้ำนิ่งสงบ เรือน้อยลอยลำหาปลาเดียวดาย ขณะเดียวกับลำลองของอาจารย์ ฉวีวรรณ ล่องลอยมาจากรายการเพลงในวิทยุทรานซิสเตอร์ หวานเศร้าและวังเวง เคล้าคลอเสียงพิณเสียงแคน ฉันเฝ้าแต่จินตนาการถึงภาพของแม่น้ำโขง ที่เคยพบเห็นจากภาพถ่ายสารคดี ภาพเบื้องหน้าของฉันยามนั้นดูไม่แตกต่างกันนักเลย
โดยที่ฉันไม่เคยสำเหนียกรู้มาก่อนเลยว่า แท้จริงแล้วมิใช่มีเพียงจังหวัดทางภาคอีสานเท่านั้นที่อยู่ติดแม่น้ำโขง หากยังมีจังหวัดทางภาคเหนือด้วยเช่นกัน
ยามเย็นของที่นี่ชักพาฉันมาสู่ริมแม่น้ำโขงเสมอ เดินอ้อยอิ่งอยู่บนสันเขื่อนริมน้ำ เฝ้ามองความเป็นไปที่เกิดขึ้นบนแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่งฟาก โดยเฉพาะฟากฝั่งตะวันตกที่ฉันยืนอยู่นี้ ถนนเหนือผนังกันน้ำกัดเซาะตลิ่งเป็นแนวยาวหลายช่วงตอน (เป็นผลกระทบจากการสร้างเขื่อนตอนบนของแม่น้ำ) ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ปลาบึกและปลาน้ำจืด บริเวณหาดไคร้ทางทิศใต้ ถัดมาเป็นสถานีตำรวจ ท่าเรือ ด่านศุลกากร จนไปถึงท่าเรือน้ำลึกที่กำลังก่อสร้างขึ้นใหม่ทางตอนเหนือขึ้นไป ตลอดแนวสลับแซมอยู่ด้วยเกต์สเฮาส์ อารามวัดและสถานที่ของราชการ
แม่น้ำโขงไหลอย่างเงียบงัน บางตอนเกรี้ยวกราดเข้ากระแทกกระทั้นเกาะแก่งแตกฟองกระเซ็นขาว บนแผ่นดินฝั่งตรงข้าม บ้านเรือนของเมืองห้วยทรายตั้งวางกระจัดกระจายลดหลั่นไปตามไหล่เขา เสียงเพลงอันคุ้นเคยลอยล่องข้ามมาจากฝั่งฟาก เสียงระฆังดังแว่วมาจากวัด เสียงนกร้องตามสุมทุมพุ่มไม้ เสียงเรือเครื่องครางแผ่วโผยล่องขึ้นมาตามลำน้ำ สายลมเย็นชื่น ความชื้นของแม่น้ำระเหิดระเหยขึ้นมาอวลร่ำในอากาศ
ท้องฟ้าหม่นมัวขึ้นทีละน้อย ความสลัวบางเบาแผ่คลุมอยู่รอบด้าน ฉันเฝ้ามองดูเดือนหงายท่ามกลางความหม่นมัว พระจันทร์ซีดจางอวบอ้วนขึ้นกว่าหลายวันก่อน ความมืดค่อยๆ ขับให้พระจันทร์เปล่งประกายเศร้า อ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นทีละน้อย ฉันได้แต่เฝ้าหวังและรอคอย ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
ไม่ว่าฉันจะอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเพียงใด ภาพของดวงจันทร์ยังเฝ้าติดตามฉันอยู่เสมอ หรือว่าฉันกันแน่นะ ที่เฝ้าติดตามภาพของดวงจันทร์อันเร้นลับในหัวใจ

๒ ยามเช้า
ฉันตื่นขึ้นมาแต่เช้า เดินจากห้องพักมุ่งสู่แม่น้ำ ระดับของน้ำสูงขึ้นกว่าหลายวันก่อน ทว่าแม่น้ำโขงยังครองตัวไหลอย่างเงียบสงบ แผ่กว้างยาวไกล ล่องลับหายเข้าไปในฟากฝั่งของแผ่นดินเบื้องหน้า
ท้องฟ้งยังหม่นมัวด้วยเมฆ ความเย็นเยือกของสายฝนที่ตกในค่ำคืนยังอวลอายในอากาศ หมอก เรี่ยลอยขึ้นจากหุบเขากลืนหายสู่หมู่เมฆเบื้องบน เทือกเขาทอดร่างเหยียดยาวโอบกอดซึ่งกันและกัน
อากาศยามเช้าสดชื่นและเงียบสงบ ท่ามกลางเสียงนกร้องร่ำและเสียงไก่ขันขาน เสียงระฆังจากโบสถ์ผสมผสานด้วยเสียงสวดสาธยายมนต์แว่วข้ามมาจากฝั่งลาว เรือหาปลาของชาวประมงจากสองฟากฝั่ง ปล่อยมอง*ไหลล่องอยู่กลางลำน้ำ ชีวิตเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายในบรรยากาศอันเงียบงัน เรียบเรื่อยดุจสายน้ำไหล
แสงแดดสาดต้องทิวเขาห่างไกล ขับไล่มวลหมอกอย่างสงบงัน หากหมู่เมฆยังไม่ยอมปลดปล่อยแสงแดดลงมาอย่างเต็มที่ ดวงอาทิตย์ยังหลบซ่อนอยู่ในม่านหนาทึบ สายหมอกลอยลับหายไปในฟากฟ้า กลืนหายเข้าไปในหมู่เมฆ เช่นเดียวกับเรือข้ามฟากกลืนหายเข้าไปในฟากแผ่นดินลาว เสียงเครื่องยนต์กลืนหายไปในความเงียบ
อาจมีเพียงนามของประเทศเท่านั้นที่แบ่งแยกผู้คนออกจากกัน ด้วยว่าสายน้ำมิอาจแยกผู้คนสอง ฟากฝั่งให้ขาดจากกันได้ วิถีชีวิตของผู้คนริมแม่น้ำโขงยังร้อยรัดและสอดกลืนอยู่เดียวกัน เช่นเดียวกับภาษาและวัฒนธรรม แม้จะมีความแตกต่าง หากยังเชื่อมโยงสานสายสัมพันธ์ต่อกัน
เช่นเดียวกับกรวดหินและเม็ดทราย วางตัวอยู่ด้วยกันริมฝั่งน้ำ
ต้นไม้ใหญ่และพืชหญ้าขึ้นอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน
ชีวิตต่างร้อยรัดสัมพันธ์
แม้ว่าทั้งมวลของที่นี่ดูจะเป็นภาพที่แปลกตามากเพียงใด หากทว่ากลับคุ้นเคยยิ่ง

๓ คืนเพ็ญ
แล้วในคืนที่เราต่างรอคอยก็มาถึง ค่ำคืนที่ฉันถือกำเนิดขึ้นและตายลงอีกครั้งหนึ่ง ใช่ล่ะ ฉันเกิดและตายลงในวันเดียวกันนี้ ชีวิตหล่นร่วงลงอีกครั้งหนึ่ง ราวกับต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเคยผลิใบอันเขียวสดงดงาม ทว่ากลับเหลืองแห้งและร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างเงียบงัน ดั่งที่เคยเป็นมาแต่อดีต
ความมืดโรยตัวลงอย่างรวดเร็ว หลังอาบน้ำจนรู้สึกสดชื่น เดินออกจากบ้านพักในซอย ทักทายกับผู้คนที่เริ่มคุ้นเคย เด็กๆ ที่ยังเล่นกันอยู่หน้าบ้าน พวกเขามองดูฉันด้วยสายตาหวาดระแวง กระซิบกระซาบซึ่งกันและกัน ขณะเฝ้ามองฉันเดินผ่าน
“ผีบ้า พวกผีบ้า”
พวกเขากระซิบผ่านกันและกันด้วยไม่คิดว่าฉันจะได้ยิน ฉันหันกลับมามองและยิ้มให้พวกเขา ยิ้มให้กับความคิดของพวกเขาที่มีต่อฉัน
เด็กๆ มองดูรอยยิ้มของฉันด้วยความหวาดหวั่น
ฉันเดินมุ่งหน้าสู่แม่น้ำเหมือนทุกวัน นกนางแอ่นหลายตัวบินโฉบแมลงอยู่ในอากาศเหนือผิวน้ำ แสงไฟ วอมแวมจากฝั่งตรงข้าม เสียงเครื่องยนต์ครางแผ่ว แว่วเสียงเพลงล่องลอยข้ามฟาก ฉันก้าวลงบันไดสู่ริมแม่น้ำ เฝ้ามองพระจันทร์เพ็ญสีเศร้า แสงจันทร์ให้ความรู้สึกอันอ่อนโยนและอบอุ่นดุจเดียวกับอ้อมกอดของแม่
สำหรับฉันแล้ว ความรักของแม่นั้นแสนงาม เศร้า และอ่อนโยน เช่นเดียวกับแสงจันทร์ยามนี้ เศร้า งามและอ่อนโยน แม้อยู่บนแผ่นดินที่ไกลห่างจากบ้านเกิดและอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่
ค่ำคืนช่างเงียบสงบเหลือเกิน เสียงจากภายนอกมิอาจรบกวนความสงบงันในใจ ดวงจันทร์ถักทอแสงใยอันงามกระจ่าง
แม่น้ำยังคงล่องไหลในความมืดอันไม่สิ้นสุด
ชีวิตยังคงล่องไหลไม่สิ้นสุดดุจเดียวกับสายน้ำ
ทว่าในค่ำคืนนี้ ราวกับฉันได้เดินทางมาถึงแก่นกลางของชีวิต เส้นทางที่ผ่านมานั้นช่างยาวไกลเหลือเกิน เช่นเดียวกับสายทางที่ฉันยังต้องย่ำเดินต่อไปข้างหน้า
ฉันให้รู้สึกเอมอิ่มและสุขใจอย่างประหลาดกับแสงจันทร์กระจ่างในค่ำคืนนี้.

* เครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่งที่ใช้ในแม่น้ำโขง
พิมพ์ครั้งแรก Mekong Post ฉบับสวัสดีเชียงของ 2549

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เพราะความรักของสายลมฯ


เพราะความรักของสายลมต้นหญ้าจึงสั่นไหว

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล: เขียน

สำนักพิมพ์หนังสือในหมอน(ทำมือ), 100 หน้า, 85 บาท (ลดเหลือ 70 บาท)


เรื่องราวการแรมรอนบนเรือสินค้าสัญชาติจีน ทวนแม่น้ำโขงสู่ดินแดนแห่งอรุณรุ่ง สิบสองปันนา เมืองต่อเมืองบนรถโดยสารเลียบฝั่งแม่น้ำหลานซางสู่ต้าหลี่-ลี่เจียง ไต่เดินเลียบเชิงเขามังกรหยกบนเทือกฮาบา คืนสู่คุนหมิงนครแห่งฤดูใบไม้ผลิ ควบขี่บนเส้นทางสายใหม่เชียงรุ่ง-หลวงน้ำทา-ห้วยทราย เพื่อพบว่าตัวเองได้ออกเดินทางย้อนทวนเวลาอีกครั้ง กลับไปเป็นดั่งต้นหญ้าที่สั่นไหวด้วยความรักของสายลม... อีกหนึ่งเรื่องราวการเดินทางดีดีที่มีมาแบ่งปัน


สนใจสั่งซื้อได้ที่หนังสือในหมอน
มีอยู่สามหนทางนะในการติดต่อสั่งซื้อหนังสือ เพราะชีวิตเรามีทางเลือกมิใช่หรือ
ทางแรกคือ ส่งธนาณัติ สั่งจ่าย คุณวุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล ป.ณ.กลาง 10501 โดยส่งมาที่ (สานแสงอรุณ) 64 ซอยสาทร 10 ถนนสาทรเหนือ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
ทางที่สองคือ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาหัวหมาก ชื่อบัญชี วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล เลขที่บัญชี 143-1-49749-3
ทางที่สามติดต่อคุณจิ๋ว ผ่าน e-mail:naimonbooks@yahoo.com เพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันครับ
สองกรณีแรก ต้องส่งที่อยู่ที่จะให้ส่งหนังสือมาด้วย โดยไม่เสียค่าส่งใดๆ
อย่าลืมติดต่อมานะครับ

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2550

รอยยิ้มของดวงจำปา


วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

รอยยิ้มของดวงจำปา


แรกพบ เธอต้อนรับฉันดั่งคนแปลกหน้า ราวค่ำคืนที่ไร้แสงแห่งดวงดาว ภาพของเธอจึงดูพร่าเลือน มิว่าจะเป็นดวงหน้าเฉยชาหรือแววตาหม่นเมินเหมือนดังม่านหมอกบางเบาปกคลุมผืนน้ำ หรืออาจจะเป็นแววแดดที่แผดร้อนจนดวงตาฉันพร่าพราย หรือเป็นเพราะความอ่อนล้าจากการเดินทางไกล หรืออาจเป็นเธอเองที่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงการงานหนาหนักและภาระที่ต้องแบกรับ ในอากัปกิริยาเยี่ยงนั้น เราทำความรู้จักกันอยู่เงียบๆ



ครั้นผ่านพ้นค่ำคืนที่หนาวเยือก ความเหนื่อยล้าหลับใหลพลันตื่นฟื้นกลับกลายเป็นเรี่ยวแรงพลัง ความสดใสร่าเริงเติมเต็มให้ชีวิต ขณะยามเช้าแต่งแต้มที่ริมขอบฟ้า ม่านหมอกเรี่ยลอยขึ้นจากผืนน้ำสีชมพูครามดุจเดียวกับท้องฟ้ากว้าง ฝูงนกสีขาวบินข้ามแม่น้ำโขงส่งเสียงเพรียกเรียกหากันและกัน ในภวังค์นั้น ฉันรู้สึกเหมือนยินเสียงของแม่น้ำเพรียกหาเรา



ในห้วงยามนั้นเอง เธอมาปรากฏกายโดยมิได้คาดฝัน ผ้าคลุมแห่งม่านหมอกเลือนหล่นจากใบหน้า เธอค่อยๆ แย้มเปิดอย่างเอียงอาย เผยให้ฉันเห็นใบหน้าอันใสซื่องดงาม ใบหน้าที่ไม่มีอะไรปกคลุม ใบหน้าที่ไม่มีอะไรมาต่อเติมเสริมแต่ง เป็นใบหน้าอ่อนเยาว์แห่งธรรมชาติที่แท้ของเธอ...



เราพากันขี่รถจักรยานไปบนถนนอันไม่สิ้นสุด ภาพชีวิตค่อยๆ เผยจากเรื่องราวในอดีตของเธอ แผ่นดินของเธอเคยเป็นอาณาจักรโบราณ แม้หลายครั้งจะตกอยู่ภายใต้อาณัติของอาณานิคม ทว่าเธอยังดำรงไว้ซึ่งวิถีชีวิตอันเรียบง่ายงดงามดุจกิริยาอาการของแม่หญิงชาวบ้าน



บนถนนอันไม่สิ้นสุดนั้น บ้านเรือนสมัยใหม่สลับเรียงด้วยเรือนไม้โบราณสมัยรัชกาลที่ ๕ และตึกโคโรเนียลสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ผู้คนออกมาเริงเล่นอยู่บนถนน แม่หญิงสวมหมวกญวนขี่จักรยานผ่านไปมา พระออกเดินบิณฑบาต เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน คนเฒ่าคนแก่นั่งดูความเป็นไปของชีวิต เธอเผยให้ฉันเห็นภาพแห่งชีวิตของผู้คนแห่งบ้านเกิดเมืองนอน ราวแสงแดดอาบความอบอุ่นไปทั่ว เผยให้ฉันได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอ เผยให้ฉันได้เห็นถึงน้ำใจของเธอ



ก่อนจากลาวันนั้น เพียงแค่ฉันได้สบดวงตาของเธอ พลันฉันได้พบว่านี่คือใบหน้าที่แท้จริงของเธอ ดวงหน้าอ่อนเยาว์งดงาม ความเศร้าซุกซ่อนอยู่ในแววตาสุกใส เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเมื่อฉันเอ่ยลา ฉันรู้ว่าสายตาของเธอยังเฝ้ามองดูฉันอยู่เสมอ



ฉันจดจำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอได้ดี รอยยิ้มใสซื่อเศร้างามของดวงจำปา ดอกไม้งามแห่งเมืองจำปาสัก



ฉันได้แต่ฝันถึงการกลับไปเยี่ยมเยือน...

๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550

แม่น้ำไร้นาม




แม่น้ำไร้นาม
โดย จันทิรา พรประเสริฐ

นานมาแล้ว นับจากหยดน้ำกลั่นกรายจากรากไม้อันชุ่มชื่น กลับกลายเป็นสายห้วยธาราหล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นให้แก่ผืนแผ่นดินและลำเนาไพร ไหลเข้าหลอมรวมกับแม่น้ำสายใหญ่ หล่อเลี้ยงผองสัตว์และผู้คนที่อาศัยพักกินดื่มดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำ จนก่อเกิดเป็นวิถีวัฒนธรรมอันเจริญรุ่งเรือง ก่อนหลากไหลลงสู่ท้องทุ่งทะเลอันแผ่กว้างไพศาล
ครั้นมองย้อนกลับไปในอดีต เราจึงไม่แปลกใจว่า เหตุใดอารยธรรมแต่โบราณอันหลายหลากจึงล่มสลายหายสูญไปจากโลก สงครามการสู้รบระหว่างเผ่าพันธุ์ การต่อสู้ปกป้องของชนเผ่ากับรัฐชาติผู้บุกรุกรายใหม่ด้วยยุทธนูปกรที่ก้าวล้ำ จนเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมถูกกลบกลืนเขมือบเคี้ยวจนสิ้น เมื่อวิวัฒนาการของมนุษย์ก้าวล้ำมากขึ้น เผ่าพันธุ์ที่ไม่อาจปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ย่อมเสื่อมสลายลงตามกาลเวลา
และการสูญสลายของหยาดน้ำเพียงหนึ่งหยด ก็นำมาสู่การล่มสลายของอารยธรรมได้เช่นเดียวกัน ด้วยชีวิตมักแตกสลายหากขาดความชุ่มเย็นเพียงแค่หนึ่งหยดน้ำ

นานมาแล้ว แม่น้ำสายนี้ถือกำเนิดขึ้นจากหยดน้ำที่กลั่นกรายจากรากไม้ คอยชุบซับและหล่อเลี้ยงผืนป่าต้นน้ำทั้ง ๑๒ แห่ง กลายเป็นสายห้วยธารา ๑๒ สาย ไหลไปหล่อเลี้ยงชุมชนก่อนไหลลงสู่กว๊านพะเยา จากกว๊านแม่น้ำยังคงคดเคี้ยวเชี่ยวไหลขึ้นเหนือผ่านแผ่นดินชุ่มชื้นและผืนป่าชุ่มน้ำ ไหลเข้าหลอมรวมกับแม่น้ำโขงอันฉ่ำเย็นจากธารหิมาลัย ที่บ้านปากอิง อำเภอเชียงของ ก่อนหลากไหลผ่านสี่แผ่นดินหลอมลงสู่ทะเลจีนใต้ของประเทศเวียดนาม
แม่น้ำยังคงไหลอยู่เช่นนั้น ไหลไปหล่อเลี้ยงมวลชีวิตบนผืนแผ่นดิน ไหลไปเป็นอาหารและที่พักพิงอิงแอบ ไหลไปก่อเกิดวิถีและวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองสถาพร แม้ในวันนี้ แม่น้ำยังคงหลากไหลไปเอื้อแก่มวลชีวิต แม่น้ำยังคงให้ และไม่เคยเรียกร้องขอรับคืน
ภาพทุกภาพยังคงติดอยู่ในความทรงจำ ตั้งแต่ป่าต้นน้ำแห่งห้วยขุนต๊ำอันเป็นต้นธารสายนี้ น้ำแต่ละหยดที่ซึมซับอยู่ตามรากไม้ ค่อยๆ ก่อเกิดเป็นลำห้วยแม่ต๊ำ ไหลไปหล่อเลี้ยงชีวิตมากมาย พืช สัตว์ และแมลง พิงพักอาศัยหากินอยู่บนผืนดินชุ่มชื่นตลอดเวลา ราวกับสรรพชีวิตต่างเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับชาวบ้านต๊ำใน ผู้คอยดูแลปกปักรักษาผืนป่าต้นน้ำเอาไว้
ภาพทุกภาพยังคงยังคงติดในความทรงจำ ตลอดความยาวของสายน้ำที่ไหลไปเอื้อเฟื้อต่อมวลสัตว์และผู้คน พวกเขาหากินอิงแอบอยู่กับแม่น้ำและพื้นที่ป่าชุ่มน้ำ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ดูแลรักษาแม่น้ำและป่าด้วยวิถีแห่งความเชื่อและการปลูกฝั่งจิตสำนึกในการพิทักษ์รักษา หลายชุมชนร่วมกันทำพิธีสืบชะตาแม่น้ำ สืบชะตาป่า ให้ข้อมูลความรู้แก่เยาวชนถึงคุณค่าประโยชน์ของป่าและน้ำ ทำให้มองเห็นถึงการอุดหนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันของทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ป่า สัตว์ หรือมนุษย์

เนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน แม่น้ำนี้มีชื่อเรียกเฉกเช่นแม่น้ำทุกสายในโลก และอาจไร้ชื่อเรียกขานได้เฉกเช่นแม่น้ำสายโบราณที่เหือดแห้งสูญหายไปนับไม่ถ้วน มิเพียงแต่แม่น้ำเท่านั้นที่สูญหาย กระทั่งว่าชุมชนอันรุ่งเรืองย่อมเสื่อมสลายด้วยเช่นกันหากไร้ซึ่งสายน้ำ หากเราไม่ช่วยกันดูแลรักษา หากเรามองไม่เห็นความอาทรเอื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หากเรายังคงเอาแต่เรียกร้องขอรับโดยไม่เคยหยิบยื่นให้
และเมื่อนั้น อารยธรรมอันรุ่งเรืองก็คงเสื่อมสลาย เมืองก็คงจะไร้ชื่อไร้นาม เฉกเช่นสายน้ำ
แม่น้ำสายนี้คงไม่ต่างจากแม่น้ำทุกสายในโลก อิงแอบแนบสนิทกับมวลชีวิต เฉกเช่นชีวิตอิงแอบแนบสนิทกับแม่น้ำ “แม่น้ำอิง”
ชื่อของแม่น้ำสายนี้อาจไร้ซึ่งความหมาย หากเราปล่อยให้น้ำหยดสุดท้ายเหือดแห้งระเหยหาย.

พิมพ์ครั้งแรก แม่โขงโพส์ต ฉบับ 5 อ้อมอกอิง 2550

ดอกไม้กับผีเสื้อ


ดอกไม้กับผีเสื้อ
โดย ศรีฬา วารุณ

เช้าวันหนึ่ง ดอกไม้เอ่ยถ้อยรำพันกับผีเสื้อ
“ขอเพียงมีปีกให้ฉันเท่านั้น ฉันจะได้บินอยู่เคียงข้างเธอ”

“ถ้าเช่นนั้น จงหักปีกทั้งสองข้างของฉันเสียเถิด”
ผีเสื้อพ้อ

“ทำไมเธอจึงพูดเช่นนั้นเล่า”
ดอกไม้ถาม
“เพราะหากเธอไร้ซึ่งปีกงามคู่นั้น ปีกของฉันจะมีค่าอะไร”

ผีเสื้อเอ่ยตอบว่า
“เป็นเพราะปีกคู่นี้ของฉัน ทำให้ฉันต้องพลัดพรากจากไกล
จงหักปีกทั้งสองข้างของฉันเสียเถิด
เพื่อที่ฉันจะได้ซบร่างอยู่บนกลีบของเธอตลอดไป”

ในแสงจันทร์:เรื่องเล่าของตุ๊กตาตัวหนึ่ง


ในแสงจันทร์: เรื่องเล่าของตุ๊กตาตัวหนึ่ง
จันทิรา พรประเสริฐ: เขียน
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล: ดูแลต้นฉบับ
สำนักพิมพ์หนังสือในหมอน, ๙๕ บาท (ทำมือ)(ลดเหลือ ๘๐ บาท)


ในคืนที่จันทร์กระจ่างฟ้า พวกมันฟื้นตื่นขึ้นมารับฟังเรื่องราวของความทรงจำ เมื่อตุ๊กตาตัวหนึ่งเริ่มต้นเล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความผูกพันกับพ่อที่เสียชีวิต และตุ๊กตาตัวหนึ่งที่มีความผูกพันกับเด็กหญิงคนนี้ เรื่องราวทั้งสองจึงเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กๆ กับตุ๊กตาทุกตัว ด้วยว่า “เด็กทุกคนต่างมีความทรงจำเกี่ยวกับตุ๊กตาทุกตัวของตน คงเช่นเดียวกับตุ๊กตาทุกตัวย่อมมีความทรงจำเกี่ยวกับเด็กๆ ผู้เป็นเจ้าของ” และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่ซ้อนทับอยู่ในเรื่องเล่าเดียวกัน เป็นอีกหนึ่งหนังสือทำมือเล่มเล็กๆ ของคนผู้ใส่ใจในการทำหนังสือ และเพิ่งได้รับรางวัลชมเชยจากงาน Thailand Indy Awards ประเภทวรรณกรรมเยาวชนมาใหม่หมาด

สนใจสั่งซื้อได้ที่หนังสือในหมอน
มีอยู่สามหนทางนะในการติดต่อสั่งซื้อหนังสือ เพราะชีวิตเรามีทางเลือกมิใช่หรือ
ทางแรกคือ ส่งธนาณัติ สั่งจ่าย คุณวุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล ป.ณ.กลาง 10501 โดยส่งมาที่ (สานแสงอรุณ) 64 ซอยสาทร 10 ถนนสาทรเหนือ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
ทางที่สองคือ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาหัวหมาก ชื่อบัญชี วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล เลขที่บัญชี 143-1-49749-3
ทางที่สามติดต่อคุณจิ๋ว ผ่าน e-mail:naimonbooks@yahoo.com เพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันครับ
สองกรณีแรก ต้องส่งที่อยู่ที่จะให้ส่งหนังสือมาด้วย โดยไม่เสียค่าส่งใดๆ แต่ไม่ได้ส่วนลดนะครับ
อย่าลืมติดต่อมานะครับ

เอาผืนดินห่มให้หายหนาว


เอาผืนดินห่มให้หายหนาว
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล เขียน

กระดาษกรีนรีดส์ 208 หน้า,125 บาท (ลดเหลือ 100 บาท)

สำนักพิมพ์ง่ายงาม พฤศจิกายน 2548


ในช่วงวัยหนึ่งของชีวิต แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญที่คอยผลักดันคนหนุ่มสาวให้ออกเดินทางค้นหาความหมายของชีวิต หลายคนไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง อีกหลายคนไปถึงที่หมายและเลือกหวนกลับคืน ในขณะที่หลายคนไม่กล้าเลือกที่จะออกเดินทาง หรือออกไปจากความเคยชินเดิมๆ ของชีวิต แต่ยังมีหลายคนเลือกที่จะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และนำกลับมาบอกเล่าให้เราฟัง ในรูปของภาพถ่าย บันทึก เรื่องเล่า ดนตรี และศิลปะแขนงอื่นๆ เช่นเดียวกับวุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล
เอาผืนดินห่มให้หายหนาว เป็นการรวมเอาบันทึก จดหมายและความเรียงเกี่ยวกับการเดินทางค้นหาความหมายด้านนอกและด้านใน “จากกล่องเมือง สู่แผ่นดินหอมบนหนทางอันไม่สิ้นสุด คือภาคฤดูกาลที่คัดสรรมาจากหกฝนหกหนาวแห่งการบันทึก และจากต้นฤดูของเล่มมือทำมาเป็นบันทึกนี้ คือสามปีของการเดินทางอย่างช้าๆ ค่อยๆ ก้าว ทว่าไม่เคยถอยหลัง เพราะรู้แก่ใจว่า ไม่มีใครบนโลกใบนี้เดินถอยหลังได้ มีแต่รำลึกถึง รอยทางและรอยการเวลาที่ผ่าน”
หนังสือเล่มนี้ จึงนับได้ว่าเป็น “อาณาจักรเล็กๆ เชื้อเชิญเราเข้าไปดื่มด่ำ ปลาบปลื้ม เศร้า เหงา สงบและสวยงาม...”


สนใจสั่งซื้อได้ที่ หนังสือในหมอน มีอยู่สามหนทางนะในการติดต่อสั่งซื้อหนังสือ เพราะชีวิตเรามีทางเลือกมิใช่หรือ
ทางแรกคือ ส่งธนาณัติ สั่งจ่าย คุณวุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล ป.ณ.กลาง 10501 มาที่(สานแสงอรุณ)64 ซอยสาทร10 ถนนสาทรเหนือ เขตบางรัก กรุงเทพ 10500
ทางที่สองคือ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาหัวหมาก ชื่อบัญชี วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล เลขที่บัญชี 143-1-49749-3
ทางที่สามติดต่อคุณจิ๋วผ่าน e-mail:naimonbooks@yahoo.com เพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันครับ
สองกรณีแรก ต้องส่งที่อยู่ที่จะให้ส่งหนังสือมาด้วย โดยไม่เสียค่าส่งใดๆ แต่ไม่ได้ส่วนลดนะครับ

อย่าลืมติดต่อมานะครับ

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550

การเบ่งบานของฤดูร้อน


หยดหนึ่งมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล


การเบ่งบานของฤดูร้อน


คุณจำถนนสายนั้นได้ไหม ถนนที่ร่มรื่นไปด้วยมวลหมู่ไม้มากมาย คุณลองนิ่งเงียบและเฝ้าฟังเสียงเหล่านั้นดูสิ...
ทันทีที่จักจั่นตัวแรกกรีดเสียงระเบ็งระบือก้อง สายลมร้อนวูบไหว ใบไม้แห้งปลิดขั้วจากกิ่งก้านหมุนคว้างและหล่นร่วง เสียงร้องของจักจั่นดูจะปลุกสรรพเสียงแห่งฤดูร้อนที่นอนหลับนิ่งสนิทอยู่กับที่ให้ฟื้นตื่นขึ้นมา ปลุกเหล่าผองเพื่อนจักจั่นที่หลบนอนอยู่ในดินตั้งแต่ปีกลายให้สะบัดปีกลุกขึ้นป่ายปีนสู่ยอดไม้อย่างร่าเริง และขับขานเป็นบทเพลงต่อเนื่องแห่งฤดูร้อนอันยาวนาน จากที่นั่นที่นี่ จากไม้ต้นนั้นสู่ต้นนี้ กึกก้องไปทั่วทั้งท้องถนน
ทันทีที่จักจั่นตัวแรกกรีดเสียงระเบ็งระบือก้อง สายลมร้อนวูบไหว มวลดอกไม้คลี่กลีบเบ่งบานไปทั่วทุกท้องถนน สว่างไสวด้วยสีสันอันงดงามแห่งพวงช่อเหลืองระย้าของดอกคูน ประกายเกล็ดสีเหลืองท่ามกลางหลืบใบสีเขียวของประดู่อังสนา ดวงดอกสีม่วงอ่อนละมุนของอินทนิล สีม่วงอมชมพูและขาวตกแต่งก้านดอกของตะแบก ประกายระยับของหางนกยูงสีแดงฉายฉานราวดวงตะวันน้อยๆ และดวงดอกชมพูอ่อนโยนของชมพูพันธุ์ทิพย์ คลี่กลีบบานสว่างไสวไปทั่วทั้งท้องถนน เบ่งบานและร่วงพรูประดับประดาถนนหนทางให้เปล่งปลั่งงดงาม
ทันทีที่จักจั่นตัวแรกกรีดเสียงระเบ็งระบือก้อง สายลมร้อนวูบไหว ประกายแดดจ้านจ้าแผดไอร้อนระอุ เสียงทอดถอนลมหายใจของผู้คนพรั่งพรูรวดร้าว หวั่นไหวไปกับภาวะของโลกที่ทวีความร้อนมากขึ้นทุกขณะ พร่ำบ่นถึงความร้อนร้ายของเมืองใหญ่ รถติดปล่อยไอเสีย ความร้อนระอุและฝุ่นควันตามท้องถนน ภาวะเรือนกระจก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก จนทำให้ทุกคนปรารถนาความชุ่มเย็นของสายน้ำ ปรารถนาความฉ่ำเย็นของแอร์คอนดิชั่นและพาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วม โดยหลงลืมว่าเราคือส่วนหนึ่งของร่มเงาอันร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ริมทาง ไยไพต่อมวลดอกไม้ผลิบานสว่างไสวเหนือสายถนน เหยียบย่ำพรมดอกไม้อันสวยงามจนบอบช้ำแหลกลาญ
ทันทีที่จักจั่นตัวแรกกรีดเสียงระเบ็งระบือก้อง สายลมร้อนวูบไหว เสียงทอดถอนลมหายใจของผู้คนพรั่งพรูรวดร้าว แผดอวลร้อนรุ่ม ครวญคร่ำรันทดท้อนั่งทอดอาลัย มิปรารถนากระทำสิ่งใดใด ปล่อยให้ตัวเองค่อยๆ เหี่ยวแห้งราวแล้งไร้น้ำหล่อเลี้ยงชีวิต ในท่ามกลางสรรพเสียงที่พร่ำเพรียกเรียกหาอยู่ตลอดเวลา ในสีสันของฤดูร้อนที่เปล่งประกายพลังแห่งชีวิตอันงดงามสว่างไสว ในเสียงขับขานระงมของจักจั่น ในการผลิบานของดอกไม้ใบไม้
ในขณะที่มนุษย์หมดหวังพังพ่ายท่ามกลางสายลมฤดูร้อน ทว่ามวลชีวิตเล็กๆ แห่งท้องถนนกำลังเบ่งบานอย่างช้าเชือน รอคอยฤดูกาลใหม่มาเยี่ยมเยือน...
คุณยังฟังเสียงนั้นอยู่หรือเปล่า คุณได้ยินชัดเจนไหม สรรพเสียงแห่งฤดูร้อนกำลังบอกบางเรื่องราวแก่คุณ…
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับโลกต้องการ "เล็ก" และ "งาม" พฤษภาคม-มิถุนายน 2550

แสงเช้า

ยามเช้า
ดวงตะวัน
ท่องภิกขาจาร
หยาดน้ำค้าง
บนเรียวหญ้าและปีกแมลง

วิถีเท้า

หนึ่งหยดมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

วิถีเท้า การคืบคลานของหนอนใบไม้

สายฝนแห่งค่ำคืนขับให้ยามเช้าของวันใหม่สดใสกระจ่าง เมฆคลี่พรายมองดูคล้ายลูกแกะสีขาวฝูงใหญ่ถูกต้อนผ่านทุ่งฟ้าโปร่งงาม แสงแดดอ่อนโยนส่องผ่านพุ่มไม้ใบบังเป็นดวงดอกแดดกระจัดกระจายอยู่ตามถนนหนทาง บางหยาดน้ำค้างเกาะพราวตามใบไม้สลัดฟองฝอยพร่างพรู ทิ้งร่องรอยชื้นแฉะที่นั่นที่นี่ บนกลีบสีแดงฉานของดอกหางนกยูงเกลื่อนกระจายพื้น บนพรมหญ้าสดขจีและพื้นดินชุ่มชื่น หอมไอดินกลิ่นหญ้าสดใหม่แห่งฤดูฝน หอมอวลกลิ่นของใบไม้ระบัดใหม่ผลิงาม
เฉกเช่นทุกเช้า ฉันคงอ้อยอิ่งอยู่กับมวลใบไม้ในสวนสาธารณะย่านท่าเรือสาทร ไต่เดินต้วมเตี้ยมอย่างมีความสุข ไล่เลาะสายตาจากใบไม้หนึ่งสู่ใบไม้อีกใบ ไต่เลาะจากต้นไม้หนึ่งสู่อีกต้นไม้หนึ่ง จากสีม่วงอ่อนของดอกอินทนิลช่อสุดท้ายสู่สีแสดแดงของดอกยางนกยูงบานเบ่งก่อนโรยร่วง จากสีเหลืองส้มของดอกพุทธรักษาถึงช่อดอกเข็มสีแดงสด จากการโรยราของชีวิตสู่การถือกำเนิดใหม่
จากม่านใบไม้ ฉันเฝ้ามองผู้คนเร่งรีบฝีเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังท่าเรือข้ามฟาก ผู้คนทบทยอยกันมามากมาย ตั้งแต่รุ่งสางยามที่ม่านหมอกบางเบายังปกคลุมแม่น้ำจวบดวงอาทิตย์สาดแสงแรงร้อน เรือโดยสารเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าคอยขนถ่ายผู้คน แต่ขบวนของมนุษย์ก็มีมาไม่ขาดสาย แดดยิ่งร้อน ฝีเท้ายิ่งก้าวเร็ว แต่ไม่อาจก้าวตามทันหัวใจ
ทุกคนต่างเร่งรีบเสียจนบางครั้ง พวกเขาหลงลืมแม้แต่คนที่เดินข้างเคียง บังเบียดซึ่งกันและกันเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง สิ่งต่างๆ รอบกายจึงล้วนแต่ไร้ความหมาย ไม่มีสายตาใดเหลียวมอง ไม่มีหัวใจดวงใดได้สัมผัสต้อง พวกเขาจะรับรู้บ้างหรือไม่หนอ ว่าท้องฟ้าวันนี้ต่างจากวันวานเพียงใด
ถึงแม้โลกจะหมุนเร็วมากขึ้นเพียงใด (รับรู้โดยวันและคืนอันเปลี่ยนผ่าน) การรีบเร่งแข่งขัน การไปถึงก่อนอาจมิใช่ผู้มีชัย หากต้องเหยียบข้ามคนที่เดินเคียงข้าง จุดหมายปลายทางอาจไร้ซึ่งความหมาย หากจุดสูงสุดของชีวิตคือการอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่า ด้วยบางครั้งจุดหมายปลายทางอาจไม่สำคัญเสมอไป ในเมื่อระหว่างเส้นทางมีใบไม้แตกใหม่มากมาย มีเพื่อนชีวิตอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้ เข้าใจ
พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่า ความรักจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ และแลเห็นมันได้อย่างชัดเจนเท่านั้น และการที่จะแลเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น เราอาจจำต้องเคลื่อนไหวให้ช้าลง เพื่อมีเวลาเพ่งพินิจ ทำความรู้จักโลก และเข้าใจมันได้มากขึ้น เพราะการเดินบนพื้นโลก โลกจะปรากฏแก่สายตา* ขณะเดียวกัน เราจะปรากฏแก่สายตาของโลกในทุกย่างก้าว สัมผัสรับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน
เช่นเดียวกับการเดินเอื่อยช้าทำให้ฉันรับรู้การมีอยู่ของต้นไม้ใบไม้ พื้นดิน ท้องฟ้า และหมู่เมฆ รับรู้การมีอยู่ของมวลมิตรแห่งชีวิต และสรรพเสียงแห่งการถือกำเนิดใหม่ของวารวัน ขณะเรารับรู้ถึงความงามแห่งสรรพสิ่งที่มีอยู่รอบกาย เราไม่รู้หรอกว่า โลกจะค่อยๆ ซึมซ่านเข้าสู่หัวใจของเรา นำพาความอ่อนโยนมาสู่หัวใจของเรา เป็นไปได้หรือไม่ว่า โลกได้หว่านโปรยเมล็ดพันธุ์แห่งความรักไว้ในหัวใจของเราแล้ว
ในขณะที่เรารับรู้การดำรงอยู่ของโลก และโลกรับรู้การมีอยู่ของเรา มันยังทำให้เราสามารถมองเห็นตัวเองได้อย่างเข้าใจยิ่งขึ้น เมื่อบานประตูแห่งหัวใจที่เคยลั่นดาลมานานปีจะถูกเปิดออก เราจึงสามารถมองดูคนอื่นด้วยความเข้าใจ มองดูเพื่อนชีวิตด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก และพร้อมจะทำความเข้าใจได้มากขึ้น
ขอเพียงแต่เราพร้อมที่จะใส่หัวใจลงในทุกสิ่งทุกอย่าง โลกหลากมุมมองจะเผยแสดงต่อหน้าให้เราได้สัมผัส ถึงแม้จะเป็นเพียงมุมมองของหนอนใบไม้อย่างฉันก็ตาม
ผ่านมุมมองบนใบไม้ ผู้คนยังคงเร่งร้อนเดินผ่านราวกับกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะเคลื่อนห่างออกไปเกินกว่าช่วงเวลาแห่งชีวิตที่เหลือ ก็ช่างเถอะ ถึงแม้ว่าชีวิตหนึ่งเราจะไปไม่ถึงจุดหมายใดเลยก็ตาม หากเราไม่ละเลยสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้าง ไม่ละเลยฟองฝอยพร่างพรูของสายฝนในเช้าวันแจ่มใส ดอกไม้ใบหญ้าริมทางเดิน หรือหนอนใบไม้สักตัวหนึ่งที่เฝ้ามองพวกคุณอยู่ เช่นเดียวกับฉัน
ขอแค่เพียงความรักดำรงอยู่ในหัวใจ เราก็สามารถก้าวเดินอย่างมีความสุขและเป็นอิสระบนโลกใบนี้ เพื่อว่าวันหนึ่ง ตัวตนของเราจะเปลี่ยนผ่านสู่รูปใหม่ โบยบินออกไปเหนือสวนดอกไม้.


* “เดิน: วิถีแห่งสติ” ติช นัท ฮันห์ เขียน, รสนา โตสิตระกูล แปล สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, ธันวาคม ๒๕๒๘

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับควอนตัม สามัญประจำบ้าน กันยายน-ตุลาคม 2549

เรื่องเล่าของสายน้ำ

หยดหนึ่งมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

เรื่องเล่าของสายน้ำ
(บทสนทนาระหว่างปลากับสะพาน)

ค่ำคืนอันเงียบเหงา เขาเริ่มต้นเรื่องเล่าของตนว่า...
เช้าวันนั้น ฤดูหนาวไหลลอยมากับสายน้ำ ฝูงปลาน้อยใหญ่พากันว่ายกลับลงมา พวกเขาบอกเล่าถึงสายน้ำอันเย็นยะเยือกแห่งฤดูหนาว ไหลลงมาจากป่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนอยู่ตามภูเขาสูง ป่าทั้งป่าจะกลับกลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนหลอมละลายไหลรวมกันอยู่ในหุบห้วยลำธาร หลอมรวมกันจนกลายเป็นแม่น้ำ ก่อนเดินทางไกลจนมาถึงอ่าวทะเล
ข้าบอกว่านั่นมันเป็นเรื่องเมื่อนมนานกาเลมาแล้ว เป็นนิทานที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเล่าให้ข้าฟังจนกลายเป็นเรื่องล้าสมัย พวกเขาพากันหัวเราะและบอกว่า เจ้าจะรู้อะไร เพราะตั้งแต่เกิดมาเจ้าไม่เคยได้เดินทางไปไหนไกลเกินสองฟากฝั่งแม่น้ำสายนี้ เจ้าไม่รู้หรอกว่า ก่อนจะมาถึงแม่น้ำสายที่เจ้ายืนอยู่นี้ มีอะไรเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง เจ้าไม่รู้หรอกว่าแม่น้ำสายนี้มีความเป็นมาอย่างไร
ข้าได้แต่นิ่งฟังด้วยไม่อาจหาเหตุผลมากล่าวอ้างว่าข้ารู้ และด้วยความไม่รู้ยิ่งทำให้ข้าปรารถนาใคร่รู้มากขึ้น
พวกเราจะบอกเจ้าให้จดจำเอาไว้ พวกเขาเริ่มต้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า แม่น้ำสายนี้เกิดขึ้นมาจากหยดน้ำ มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในป่าดึกดำบรรพ์อันชุ่มชื้นและผืนดินอันอุดมไปด้วยแหล่งน้ำซับ แต่ละหยดถูกเก็บซับเอาไว้มากพอจนกลายเป็นหุบห้วยลำธารไหลรินไม่สิ้นสุด ไหลรวมกับลำห้วยสายอื่นๆ จนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ และนี่คือที่มาของแม่น้ำแต่ละสาย ก่อนที่จะไหลมาถึงจุดที่เจ้ายืนอยู่นี้ เป็นเช่นนี้มานับพันปีแล้ว แต่อาจจะเป็นอีกได้ไม่นานนัก หากมนุษย์ยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แม่น้ำสายนี้อาจจะหยุดไหล เจ้าอาจจะได้อยู่จนถึงวันนั้น
นี่พวกเจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน ข้าไม่มีทางเชื่อว่าแม่น้ำสายนี้จะหยุดไหลได้เลย นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้อะไร พวกเขาร้องบอก เจ้าไม่รู้หรอกว่ามนุษย์ได้ทำอะไรไว้บ้างกับแม่น้ำแต่ละสาย พวกเขาทำลายหยดน้ำด้วยการตัดไม้ทำลายป่า พวกเขาสร้างเขื่อนไว้กักเก็บน้ำนัยว่าเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพื่อการเกษตร แต่ในฤดูแล้ง เขื่อนกลับไม่ยอมปล่อยน้ำมาให้ชาวไร่ชาวนา ครั้นถึงฤดูน้ำหลาก เขื่อนกลับปล่อยน้ำออกมาท่วมพืชสวนไร่นาและบ้านเรือน สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน
เจ้าจะรู้อะไร ก่อนที่พวกเราจะพากันเดินทางมาถึงที่นี่ได้ ช่างยากลำบากเสียจริง พวกเราส่วนใหญ่หลงอยู่ในเวิ้งน้ำแผ่กว้างไม่สิ้นสุด หลายคนติดตาข่ายหรือไม่ก็เบ็ดราวของชาวบ้านที่น่าสงสารพวกนั้น เพราะบ้านเรือนของเขาถูกน้ำท่วมจนแทบไม่มีที่อาศัย ไร่นาสาโทจมอยู่ใต้กระแสน้ำ บ่อเลี้ยงปลาของพวกเขาต้องเสียหาย (เพื่อนของเราที่หลุดออกมาจากบ่อเลี้ยงปลาเล่าให้ฟังเช่นนั้น) สวนผักผลไม้ และอีกมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ใต้กระแสน้ำทั้งหมดทั้งสิ้น นานนับเดือนทีเดียวเพื่อนเอ๋ย
และเมื่อพวกเราพยายามหาหนทางกลับมายังแม่น้ำสายนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ประตูเขื่อนทุกเขื่อนที่พอจะมีอยู่ ประตูระบายน้ำทุกช่องระบายถูกปิดตายทั้งหมด พวกมนุษย์กั้นสายน้ำไว้ไม่ให้ไหลตามปกติ ไม่ให้มันไหลเข้าท่วมบ้านเมืองของคนรวย แต่กลับปล่อยให้คนจนๆ ต้องเดือดร้อนกันได้ไม่สิ้นสุด พวกมนุษย์นี้ช่างแล้งไร้น้ำใจกันเสียเหลือเกิน
ข้าจะเชื่อพวกเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่มานับนานเฉกเช่นบรรพบุรุษของพวกเจ้า มันมีไม่กี่ครั้งนักหรอกที่ข้าประสบกับเหตุการณ์น้ำท่วม มันสูงขึ้นมาจนแทบจะถึงทรวงอกของข้านี่ พวกเจ้าดูรึ ปีนี้น้ำท่วมสูงเพียงหัวเข่าของข้าเอง แม้ว่าน้ำทะเลจะหนุนเนืองขึ้นเพียงใด น้ำก็จะไม่สูงเกินกว่านี้มากนัก ถึงแม้บ้านเรือนที่อยู่ริมฝั่งน้ำของชาวบ้านจะถูกน้ำท่วมบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่ข้าเคยเห็นมาตั้งแต่เกิด พวกเจ้าอย่าพูดจาเพ้อพกให้ข้าหลงเชื่อเลย
นี่เจ้าไม่ได้ยินเสียงครวญของแม่น้ำดอกรึ บทเพลงของสายน้ำแปรเปลี่ยนท่วงทำนองไปเสียแล้ว ด้วยเพราะเธอถูกกักขัง ถูกทำให้แปรเปลี่ยน พวกเธอกำลังโศกเศร้าด้วยถูกบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่เลวร้าย นั่นคือการทำลาย เจ้าไม่เคยรู้เลยหรือว่า แม่น้ำก่อกำเนิดขึ้นมาจากความรัก ความเมตตาอาทร แม่น้ำถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ทำลาย
เขาจบเรื่องเล่าของตนด้วยความเงียบงัน ข้าพเจ้านึกอยากปลอบโยน วางมือลูบไล้เนื้อปูนหยาบกระด้างของราวสะพาน ขณะเฝ้ามองแสงพริบพรายของแม่น้ำยามค่ำคืน ณ เมืองใหญ่แห่งนี้
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับพระไตรปิฎก ภูมิปัญญาที่เราหลงลืม มีนาคม-เมษายน 2550

การเดินทางของเด็กหญิงสายฝน

หนึ่งหยดมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล


การเดินทางของเด็กหญิงสายฝน


บ่ายวันหนึ่ง เด็กหญิงสายฝนรู้สึกเหมือนตัวเองค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ลอยสูงขึ้นทุกขณะ...
เบื้องล่างของเธอคือลำธารสายหงิกงอไหลผ่านหมู่บ้านท่ามกลางป่าเขาผืนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทอดยาวไกลจนลับหายจากสายตา เธอไม่รู้ว่าลำธารสายนี้ไหลไปหล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินใด เด็กหญิงสายฝนรู้แต่เพียงว่าน้ำจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ในขณะที่เธอกลับล่องลอยขึ้นสู่ห้วงฟ้า ถูกดูดกลืนเข้าหลอมรวมกับเหล่าพี่น้องพ้องเพื่อนของเธอที่เดินทางมาจากฟากโพ้นทะเล เป็นแมกเมฆอันบางเบาและโปร่งสบาย
อากาศเบื้องบนสดชื่นและเย็นสบาย เด็กหญิงสายฝนล่องลอยคล้อยเคลื่อนห่างไกลจากถิ่นกำเนิด เธอไม่รู้ว่าสายลมตะวันตกเฉียงใต้อันแผ่วจางจะพัดพากองคาราวานของพวกเธอไปหนแห่งใด แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการได้ลอยล่องอย่างอิสระ ได้แลเห็นโลกต่างจากที่เคยเห็น...
โลกเบื้องล่างแปรเปลี่ยนตามภูมิประเทศสูงต่ำลดหลั่นกันไป จากเทือกผาป่าเขาแปรเปลี่ยนเป็นท้องทุ่งหญ้าเขียวขจี จากบึงบางกว้างใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสายห้วยธาราหลากไหล จากลำเนาไพรรกชัฏแปรเปลี่ยนเป็นเรือกสวนไร่นาอันงอกงาม จากผืนดินแห้งผากแปรเปลี่ยนเป็นความชุ่มชื้นด้วยสายฝนหลั่งโปรย
เธอรู้ว่า การมาเยือนของฤดูฝนนำพาความรื่นเริงแห่งชีวิตกลับมาอีกครั้ง นำพามาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญญาหาร นำพามาซึ่งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และการถือกำเนิดใหม่
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน กองคาราวานของเธอกลับมีผู้เข้าร่วมอย่างมืดฟ้ามัวดิน หนาแน่นและเสียดสีจนเกิดประกายฟ้าเป็นเส้นสายยึกยือ ส่งเสียงครวญครางสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หนักหน่วงและถ่วงทับจนต้องกลั่นตัวเป็นหยดหยาดเยียบเย็น เป็นละอองฝอยฝนอบร่ำหลั่งรินสู่พื้นดินเบื้องล่าง
เธอมองดูความงดงามของสายฝนโปรยปรายบางเบา มองดูผู้คนตามทุ่งนาป่าไร่ ใบหน้าที่เคยกร้านแดด แปดเปื้อนด้วยรอยยิ้มอิ่มเต็ม เด็กๆ ยิ้มเล่นเต้นรำท่ามกลางสายฝน ความสุขดูจะงอกงามดุจเดียวกับดอกไม้ใบหญ้า ความมีชีวิตชีวางอกงามท่ามกลางฤดูแห่งสายฝน ภาพที่เห็นทำให้เด็กหญิงสายฝนเผยยิ้มปริ่มสุข
เพียงไม่นานนัก แสงแดดยามเย็นสาดไล้ละอองฝอยฝนจนเหือดแห้ง สายรุ้งทอสะพานทอดโค้งทาบทาฟ้าฉ่ำฝน ลมตะวันตกเฉียงใต้คงพัดพาคาราวานแห่งหมู่เมฆล่องลอยคล้อยผ่านท้องไร่ท้องนา ฝูงวัวควายเดินและเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งโล่ง หมู่บ้านริมฝั่งน้ำ เมืองเล็กๆ ในชนบท สิ่งปลูกสร้างของมนุษย์และธรรมชาติแวดล้อมวางตัวกลมกลืนอยู่ด้วยกัน ดูสอดคล้องและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
ขณะกำลังเพลินมองดูภาพเบื้องล่าง เด็กหญิงสายฝนรู้สึกว่า คาราวานของเธอรีบเร่งเดินทางเร็วมากขึ้น ทันใดนั้น เธอกลับถูกโถมทับด้วยม่านหม่นดำครึ้มของหมู่เมฆที่ม้วนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วบ้าคลั่ง กระแสลมรุนแรงจนแทบจะฉีกกระชากร่างเธอออกเป็นเสี่ยงๆ พวกเธอพยายามเกาะกลุ่มกันแน่นหนา ถูกหอบพัดพาเข้ามาสู่เมืองใหญ่ ผ่านตึกรามบ้านช่องห้องหอหนาทึบเบียดอัดกันอยู่เบื้องล่าง ตึกหลายหลังเหยียดต้นสูงขึ้นสู่ฟากฟ้าราวท้าทาย ผู้คนมากมายมองขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น บางคนหลบเข้าไปในยานที่เคลื่อนไปมาอยู่บนท้องถนนที่เชื่อมโยงกันราวกับเส้นสายลายทางเดินของหมู่มดง่าม
ขณะที่หมู่เมฆเบื้องบนปั่นป่วนปรวนแปรอย่างบ้าคลั่ง เสียงเสียดสีดังคำรามกึกก้องอย่างน่ากลัว ผืนฟ้าราวจะปริแยกแตกด้วยแรงฉีกกระชากทำลายจากประกายแห่งสายฟ้า และเพียงไม่นานนัก ความหน่วงหนักทั้งมวลยิ่งบีบรัดแน่น กลั่นคั้นตัวตนจนกลายเป็นมวลน้ำอบร่ำหลั่งโปรยหนาหนักอยู่เนิ่นนาน
โลกเบื้องล่างมืดมัวอย่างรวดเร็ว ผู้คนทั้งหมดวิ่งกระจายหายเข้าไปในตึกรามบ้านช่อง บ้างหายเข้าไปในยานที่มีดวงตาสีแดงซึ่งเคลื่อนไปไหนไม่ได้ มองดูคล้ายกบที่ออกมาเล่นน้ำฝนกันแน่นขนัดอยู่บนถนนหนทาง
เด็กหญิงสายฝนมองดูโลกแห่งค่ำคืนเบื้องล่าง แสงไฟสว่างเรืองดูมัวซัวด้วยม่านฝน และทันใดนั้น เธอรู้สึกวูบสะท้านหวั่นไหว เมื่อพบว่าตัวเองกำลังหล่นร่วงลงสู่เบื้องล่าง เป็นการหล่นร่วงอย่างสวยงามพร้อมกับเพื่อนๆ ของเธอ หล่นร่วงลงมาด้วยความรักและอาทร เธอนึกถึงรอยยิ้มอิ่มสุขของชาวไร่ชาวนา นึกถึงเสียงหัวเราะของเด็กๆ ริมฝั่งน้ำ
ขณะกำลังร่วงลงสู่ผืนน้ำอันมืดดำ เด็กหญิงสายฝนมองเห็นใบหน้าของผู้คนที่ยืนหลบฝนอยู่ริมฝั่งท่าน้ำ ใบหน้าของพวกเขาดูหงุดหงิดเคร่งเครียด สายตาของพวกเขาชิงชังรังเกลียด มองดูสายฝนและความเฉอะแฉะอย่างนึกรำคาญ
ภาพที่เห็นทำให้เธอรู้สึกเศร้าสร้อย...
...ด้วยความรัก พวกเธอจึงเดินทางมาจากดินแดนอันห่างไกล หวังเพียงนำความชุ่มชื้นมาสู่ผืนแผ่นดิน หวังเพียงนำความงอกงามมาสู่พืชพรรณ หวังเพียงนำความสดชื่นรื่นเริงมาสู่มวลชีวิต หวังเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะคอยขับกล่อมโลกให้สดใส
เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกทั้งมวลของเธอเลือนลับดับหาย เด็กหญิงสายฝนหล่นร่วงลงสู่พื้นน้ำอีกครั้ง ผืนน้ำอันขุ่นข้นและมืดมัว เธอไม่รู้ว่า สายน้ำจะพัดพาเธอไหลไปหล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินใด
เด็กหญิงสายฝนรู้แต่เพียงว่า น้ำจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับผู้หญิง...เดินทาง พฤศจิกายน-ธันวาคม 2549