วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๘

อิสรภาพ

ปลาเทพเจ้าตายเสียแล้วตอนบ่ายของวันนี้ ก่อนถูกปล่อยกลับคืนสู่แม่น้ำโขง

นับเป็นปลาเทพเจ้าตัวที่สองของปี ถูกจับได้เมื่อสองวันก่อน ชาวบ้านหาดไคร้ช่วยกันซื้อไถ่ชีวิต เพื่อปล่อยกลับคืนสู่ชีวิตตามธรรมชาติอีกครั้ง

สองวัน หนึ่งคืนในถุงตาข่ายแคบๆ ผูกติดไม้ไผ่ลอยน้ำ ผู้คนนับร้อยพากันมาดูปลาเทพเจ้า ทุกคนอยากรู้อยากเห็น อยากได้สัมผัส นักข่าวพากันมาถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ พวกเขาอยากได้รูปของท่านเต็มๆ ตัว หากแต่ไม่ยอมเข้าไปเห็นธรรมชาติของท่าน แต่ปรารถนาให้ยกชูปลาเทพเจ้าขึ้นมา

“ปลาเทพเจ้าตายเสียแล้ว” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ย เมื่อฉันมาถึง

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยของบาดแผล บาดแผลของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ มันเป็นการต่อสู้กับจิตใจรักอิสระของตัวเอง เพื่อคืนสู่อิสรภาพ

ฉันได้แต่เฝ้ามองดูภาพเบื้องหลังแห่งการต่อสู้ในครั้งนี้ ฉันรู้เขาเป็นอิสระแล้ว ในขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกรัดรึงอยู่ในร่างตาข่ายจมอยู่ใต้กระแสน้ำเย็นยะเยือก เนื้อตัวของฉันเต็มไปด้วยริ้วรอยของบาดแผล และในที่สุดการดิ้นรนต่อสู้ของฉันก็จบลงเช่นเดียวกัน

ฉันรู้ ปลาเทพเจ้าเป็นอิสระแล้ว.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๗

ชะตากรรมของปลาเทพเจ้า

ในยามเช้าของวันที่หม่นมัว ข่าวคราวปลาเทพเจ้าตัวแรกของปีแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเล็กๆ แห่งนี้

พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกผ่านพ้นไปแล้ว ดอกซอมพอแย้มบานแล้ว นกนางนวลสามสี่ตัวโบยบินเหนือเส้นขอบฟ้า สัญญาณลึกลับของธรรมชาติ ชักนำปลาเทพเจ้าให้ออกจากวังบาดาล เดินทางไกลเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ของตน

ปีหนึ่งๆ ปลาเทพเจ้าสักกี่ตัวกัน รอดพ้นจากมองยักษ์ของชาวประมง ซึ่งเป็นเสมือนมือขนาดใหญ่คอยดักจับลูกหลานเผ่าพันธุ์ของปลาเทพเจ้า โอกาสที่จะได้ลืมตาชื่นชมโลกบาดาลเฉกเช่นบรรพบุรุษ ริบหรี่เหลือเกิน

กี่ร้อยกี่พันปีมาแล้ว ที่พวกเขาเดินทางไกลในสายน้ำแห่งนี้ ตลอดทั้งสายน้ำเปรียบดังอาณาจักร ทุกเส้นสาหร่ายที่ได้ดื่มกิน ทุกเกาะแก่ง ทุกคก ทุกวังบาดาลเคยเที่ยวเล่นหลับนอน บ้านของเรากำลังถูกพรากทำลาย เผ่าพันธุ์ของพวกเราถูกพรากให้สิ้นสลาย

ฉันเฝ้ามองปลาเทพเจ้าด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง ร่างถูกผูกมัดกับลำไผ่ เชือกผูกร้อยทะลุเหงือก เลือดเข้มข้นลอยไปตามแม่น้ำ ฉันได้แต่คาดหวัง การเสียสละของเขาจะไม่สูญค่า ฉันได้แต่คาดหวัง

ฉันยืนหลับตานิ่ง มองเห็นตัวเองเดินลงน้ำ กอดปลาเทพเจ้าเอาไว้ในอ้อมแขน พร่ำขอโทษแทนเหล่ามนุษย์ผู้ไร้ค่าเช่นพวกเรา.

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๖

ตัวละครในนวนิยาย

สายลมแผ่วเย็นพัดผ่านเข้ามาในเช้าวันนี้ วันที่ยังความสดชื่นรื่นรมย์แก่ชีวิต

ตลอดหนึ่งปีแห่งการรอคอย จากวันสงกรานต์ปีกลายที่ฉันและเธอมีโอกาสเล่นน้ำด้วยกัน ตั้งแต่วันนั้น ฉันเฝ้ารอคอยเวลาที่จะได้พบเธออยู่เสมอ เฝ้ารอโอกาสพูดคุยทักทาย แต่โอกาสไม่เคยมาถึงเลย ฉันรู้ ฉันรอคอยวันสงกรานต์มาตลอดทั้งปี รอคอยโอกาสที่จะได้เล่นน้ำกับเธออีกครั้ง

แล้ววันสงกรานต์ก็มาถึง แม้เรามิได้เล่นน้ำด้วยกันเช่นปีก่อน หากทว่าเธอเดินเข้ามา ฉันทักทายด้วยการรดน้ำอันฉ่ำเย็น ดูเหมือนเธอจะรู้ว่า นั่นคือน้ำใจของฉัน

ฉันจึงมีวันนี้อีกครั้งหนึ่ง วันที่สายลมแผ่วเย็นพัดผ่านเข้ามายังความสดชื่นรื่นรมย์ วันที่มีเธอนั่งอยู่ใกล้ๆ ได้เดินเคียงข้างกัน และได้ลงเล่นน้ำโขงด้วยกัน

เธอเล่าถึงวันคืนเก่าๆ อย่างสงบ หลายครั้งที่เธอและน้องชายสวมเสื้อชูชีพ ว่ายน้ำข้ามไปยังดอนโป่ง แค่เพียงมองเห็นความกว้างใหญ่ของแม่น้ำในช่วงนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกหวาดพรั่นเสียแล้ว

ฉันเชื่ออยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยการบ่มเพาะและรอคอย ช่วงเวลาอันเหมาะสม ช่วงเวลาอันสุกงอมหอมหวานแห่งชีวิต

เธอทำให้ฉันนึกถึงตัวละครใน “เงาจันทร์บนแผ่นน้ำ” ธารรินคนนั้น เพราะเธอทำให้ฉันนึกถึงสายน้ำ เรียบเรื่อยและฉ่ำเย็น ปล่อยตัวเองให้ล่องไหลไปตามครรลองของสายน้ำ

ดูเหมือนฉันจะได้พบกับตัวละครในนวนิยายของฉันแล้ว นวนิยายที่ทำให้ฉันเดินทางออกจากบ้านเพื่อตามหาบางสิ่งบางอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง แล้วฉันก็ได้มาพบเธอ.

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๕

เทศกาลฤดูร้อน

กระแสลมร้อนพัดผ่านเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง ท่ามกลางฤดูร้อนที่มีสายน้ำฉ่ำเย็น

เทศกาลฤดูร้อนเริ่มต้นขึ้นในยามเช้าอันสดกระจ่าง เสียงนกขับขานมาจากพุ่มพฤกษ์ ชาวบ้านชักชวนกันไปทำบุญที่วัด หนุ่มสาวชักชวนกันออกมาเล่นสาดน้ำ เด็กๆ ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ผู้คนมากมายพากันออกมาจากบ้านแห่งหุบเขาดงดอย หนุ่มสาวม้งลงมาเที่ยวงานปีใหม่เมือง เดินไปมาบนถนนริมฝั่งแม่น้ำ ร่างกายชุ่มชื่น ใบหน้าแย้มยิ้ม

เนิ่นนานมาแล้วที่ไม่มีโอกาสเข้ามาเที่ยวในเมืองเช่นนี้ หนุ่มสาวม้งจึงถือโอกาสออกมาเที่ยวงานปีใหม่เมืองที่จัดในอำเภอเชียงของ แม้ว่าอากาศจะร้อน แดดจะแรงเพียงไร ทุกคนยังยิ้มได้ ยิ้มให้กับการลาดรดอันฉ่ำเย็น

บนถนนสายกลาง เด็กๆ และหนุ่มสาวตั้งป้อมน้ำ สาดรดสายน้ำให้กันและกัน ลาดรดให้หัวใจชุ่มเย็น เทศกาลกลางฤดูร้อน เทศกาลแห่งความฉ่ำเย็น

ตะวันคล้อยดวงลับจากเทือกเขาแล้ว.

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คนรักระหว่างบรรทัด 2

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล: เรื่อง
นุชารียา: ภาพ

เส้นทางสายไหม*


“คุณเชื่อหรือไม่ ความรักทำให้มนุษย์เราเดินทางข้ามโลกได้” เขาเอ่ยขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ขณะข้ามแดนตรงด่านห้วยทราย เมืองเชียงของทอดสงบอยู่เบื้องหน้า แม่น้ำโขงพริบพรายในแสงแดดสุดท้ายก่อนเร้นหายหลังเทือกภูอันหนาวเย็น เรานั่งเรือโดยสารมาจากหลวงพระบางด้วยกัน และกำลังจะข้ามกลับไปยังฝั่งไทย ผมจะพักอยู่ที่เชียงของอีกสองสามวัน เพราะที่บ้านคงไม่มีใครรอคอยการกลับมาของผม ส่วนเขาจะนั่งรถเข้าเชียงรายเพื่อขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพฯ และเดินทางกลับบ้านที่ฝรั่งเศส ผมไม่รู้ว่ามีใครรอคอยเขาอยู่ที่นั่น
ผมมองดูเขา ยิ้มเหมือนไม่เชื่อ

“คุณเคยได้ยินเรื่องราวของเส้นทางสายไหมบ้างหรือเปล่า” เหมือนคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เขาพูดต่อ “ผมรู้จักชายคนหนึ่ง เคยเดินตามเส้นทางสายนี้มายังประเทศญี่ปุ่น เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอบอกเขาว่า ‘จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย’”

“แล้วเขาก็เชื่อเธอ?” ผมเห็นเขาพยักหน้าอย่างเศร้าๆ และยิ้ม

เมื่อประมาณปีค.ศ. ๑๘๖๑ โฟลแบรฺกำลังจะจบนวนิยายเรื่อง ซาลองโบ แสงสว่างจากไฟฟ้ายังเป็นเพียงทฤษฎีและอีกฟากฝั่งของมหาสมุทร อับราฮัม ลินคอล์นกำลังเริ่มต้นสงครามที่ยังไม่เห็นจุดจบ เขาใช้เวลาสามเดือนเพื่อเดินทางจากลาวิลดิเยอ ข้ามพรมแดนใกล้เมืองเมตซฺ ผ่านแคว้นวูเต็มแบร์กและบาวาเรีย เข้าสู่ออสเตรีย นั่งรถไฟไปเวียนนาและบูดาเปสต์จนถึงเมืองเคียฟ เขาขี่ม้าผ่านทุ่งหญ้าสเตปป์ในรัสเซีย ไต่เทือกเขายูราล ถึงไซบีเรีย และเดินทางต่อจนถึงทะเลสาบไบคาล จากนั้นจึงล่องตามแม่น้ำอามัวร์เลียบชายฝั่งจีนจนถึงมหาสมุทร หยุดรอเรือพ่อค้าของเถื่อนชาวดัชท์ที่ท่าเรือเมืองซาเบิร์กเพื่อต่อไปยังแหลมเทรายะของญี่ปุ่น เดินเท้าจากเมืองอิชิงาวะจนถึงเมืองชิระงาวะ แล้วหันสู่ทิศตะวันออกรอชายชุดดำมาพาเขาไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อซื้อไข่ไหม และเดินทางกลับโดยย้อนตามเส้นทางเดิมอีกสามเดือนเพื่อกลับมายังลาวิลดิเยอในอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงคนนั้น” ผมยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามเอ่ยเล่า

“เขาพบเธอที่หมู่บ้านแห่งนั้น เธอผู้มีใบหน้าของเด็กสาวอยู่ในชุดผ้าไหมสีสด ผิวขาว ไม่ได้มีหนังตาชั้นเดียวแบบชาวตะวันออก และดวงตานั้น จ้องมองดูเขานิ่งงัน...”

“นั่นทำให้เขาสนใจเธอ” ผมเอ่ยถาม

เขามิได้ตอบในทันที เราข้ามเรือด้วยกันอย่างเงียบๆ แม่น้ำโขงดูนิ่งงันหากทว่าเรื่อยไหล เมื่อเรือเข้าเทียบฝั่ง เขาก้าวขึ้นจากเรือ เดินช้าๆ เพื่อรอผม ครั้นผมตามมาทัน เขาจึงหันมาพูด

“มันทำให้เขาไม่ลังเลที่จะออกเดินทางอีกครั้งเมื่อถึงต้นเดือนตุลาคม ครั้งที่สองนี้ เขาได้รับกระดาษชิ้นเล็กนิด ตัวหนังสือสองสามตัวเรียงกันในแนวตั้ง เขียนด้วยหมึกดำ”

“มันเขียนไว้ว่า จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย” ผมคาดเดา

เขายิ้มและพยักหน้าน้อยนิด

“เขาจึงออกเดินทางอีกครั้ง แม้สถานการณ์ญี่ปุ่นในตอนนั้นเริ่มส่อให้เห็นถึงภาวะของสงครามกลางเมือง และเมื่อเขามาถึงหมู่บ้าน พลันนั้น ท้องฟ้าเหนือบ้านเรือนปรากฏฝูงนกนับร้อยตัว ปีกหลากสีระเบิดออกราวกับพลุและเมฆสารพัดสีคลี่กระจายออก เป็นฝูงนกจากกรงขนาดใหญ่ของฮาระ เคอิ เขารู้ว่ามันคือสัญญาณ”

“จากเธอคนนั้น” ผมเห็นรอยยิ้มของเขา

“เขาพบเธอยืนอยู่หน้ากรงนกที่เปิดกว้าง ทุกส่วนบนใบหน้าของเด็กสาวแย้มยิ้ม”

“แล้วนกพวกนั้นล่ะ”

“แล้วพวกมันจะกลับมา มันยากเสมอที่จะห้ามใจไม่ให้กลับมามิใช่รึ ฮาระ เคอิพูดเช่นนั้น… ครั้นรุ่งเช้าเขาแลกเปลี่ยนไข่ไหมสีงาช้างกับเกล็ดทองคำ ทว่าฮาระ เคอิกับผู้ติดตามออกเดินทางไปแล้ว ขากลับ ขณะขี่ม้าผ่านป่าห่างไกลจากหมู่บ้าน เขาพบนกนับพันหลบพักอยู่ในพุ่มไม้ จึงหยิบปืนยิงขึ้นฟ้าหกนัด ฝูงนกตกตื่นบินสู่ฟ้าราวกับควันที่กระจายออกจากกองเพลิง

“ปีรุ่งขึ้น เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาเลือกเดินทางอีกครั้งท่ามกลางเสียงคัดค้านของเจ้าของโรงปั่นไหม ด้วยเกิดสงครามของพวกกบฎในญี่ปุ่น หมู่บ้านของฮาระ เคอิถูกเผาราบ เบื้องหน้าของเขามองเห็นแต่ความว่างเปล่า ราวกับมันคือสุดขอบโลก”

ผมนิ่งเงียบ รอให้เขาเล่าต่อ

“เขาพบเห็นความเลวร้ายของสงคราม เด็กชายที่พาเขาติดตามขบวนของฮาระ เคอิถูกลงโทษถึงตายเพราะนำสารรักกลับมาให้นายหญิงของตน ครั้งนั้นเขาได้ไข่จากเจ้าหน้าที่รัฐด้วยการติดสินบน แต่การเดินทางของเขาล่าช้าเกินไป อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตัวอ่อนนับล้านพลันตายสิ้น

“เมื่อกลับมาถึง เขาใช้สมบัติทั้งหมดที่มีช่วยเหลือคนงานในเมืองด้วยการจ้างชายหญิงให้ช่วยสร้างสวนป่า ปลูกดอกไม้ทุกชนิด มีทะเลสาบ และสร้างกรงนกขนาดใหญ่ถักทอด้วยไม้และเหล็ก ด้วยความโศกเศร้าอาลัย เขามีชีวิตอยู่เหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลก

“สองเดือนต่อมาเขาได้รับจดหมายเขียนด้วยอักษรสีดำ ดูคล้ายรอยเท้านกอันยุ่งเหยิงบนกระดาษเจ็ดแผ่น เขาให้มาดามบลองชฺช่วยอ่านให้ฟัง มันเป็นจดหมายจากสาวญี่ปุ่นคนนั้น เพื่อให้เขาได้สัมผัสในสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัส และเพื่อที่จะได้ลืมเธอ...”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ผมถามเมื่อเห็นเขาเงียบอยู่นาน

“เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเอแลนภรรยา สามปีต่อมา เขาจึงได้รู้ว่าเอแลนเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนั้นและให้มาดามบลองชฺคัดลอกหลังจากเธอล้มป่วยและตายด้วยโรคไข้สมอง ทำให้เขารู้สึกเศร้าที่หลายปีก่อนหน้านั้น เขาหลงลืมเธอ ลืมความรักที่เธอมีให้เขา ตั้งแต่นั้นเขาเริ่มมีความสุขที่จะเอ่ยเล่าถึงการเดินทางให้คนอื่นๆ ฟัง เมื่อความเหงาบีบคั้นหัวใจ เขาจะไปสุสานเพื่อพูดกับเอแลน นานๆ ครั้ง ในวันที่ลมพัดแรง เขาจะลงไปถึงทะเลสาบเพื่อเฝ้ามองลวดลายบนผิวน้ำ แผ่วเบา...ราวกับเป็นภาพชีวิตของเขาเอง”

เมื่อผ่านพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เชียงของ ผมเรียกรถเครื่องสามล้อ บอกให้สารถีไปส่งเขาที่ท่ารถเชียงของ-เชียงราย

“ขอบคุณมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง”

เขาบีบมือผมไว้แน่นพลางเอ่ย “ที่ผมเล่าให้คุณฟัง ผมเพียงอยากให้คุณดูแลห่วงใยคนรักของคุณ เธอรักคุณนะ ผมอยากเห็นคุณกลับไปหาเธอ” เขาพูดขณะก้าวขึ้นนั่งบนรถเครื่องสามล้อ มองดูผมด้วยดวงตาเศร้าสร้อย รถเคลื่อนห่างจากไป

“แอรฺเว ฌองกูรฺ จำชื่อของผมไว้นะ ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นเหมือน...” ประโยคสุดท้ายของเขาแผ่วบางในสายลม
ผมนึกถึงเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟัง อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าผมหมองหมางใจกับคนรัก เขาจึงเอ่ยเล่าเรื่องของชายผู้เดินทางข้ามโลกเพื่อตามหาความรัก ทั้งที่เขาแทบจะหลงลืมใครอีกคนหนึ่งซึ่งคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลาที่ทุกข์ระทม คนที่รักเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันทำให้ผมครุ่นคิดถึงการกลับบ้าน พลันระลึกถึงรอยยิ้มและอ้อมแขนอันแสนอุ่นของใครบางคน.

พิมพ์ครั้งแรก สานแสงอรุณ ฉบับคืนสู่ความรู้สึกตัว 2551
*
ไหม อเลซซานโดร บาริโก: เขียน, งามพรรณ เวชชาชีวะ: แปล, สำนักพิมพ์สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์: พิมพ์ครั้งแรก: ๒๕๔๐

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๔

เรื่องรักในร้านกาแฟ

ทุกๆ วัน เมื่อแดดร่มลมตก เสียงเด็กๆ เล่นน้ำยังดังก้องสะท้อนอยู่ริมฝั่ง ชาวบ้านซ้อมพายเรือเพื่อเตรียมแข่งในงานเทศกาลปีใหม่เมือง เสียงเฮ ไฮ เฮ ไฮ ฝีพายจ้วงน้ำด้วยจังหวะพร้อมเพรียง

เสียงเจ้ามณีเห่าขรมมาจากชั้นบนตำมิละ เมื่อมองเห็นหญิงสาวพาเจ้ามอมเดินผ่าน อ้ายหล้าเดินลงมารอคอยการอาบน้ำ หน้าร้านกาแฟเช่นเดียวกับหลายวันที่ผ่านมา

เขาเลือกนั่งบนบันไดเดินลงสู่แม่น้ำ รอให้เด็กๆ ขึ้นจากน้ำ รอให้การซ้อมเรือสิ้นสุดลง ฉันเดินเข้าไปทักทาย แกล้งขยับเนื้อขยับตัวอย่างปวดเมื่อย อ้ายหล้าจึงช่วยนวดจับเส้นให้

เราพูดคุยกันหลายเรื่องราว ตอนหนึ่ง เขาเอ่ยเล่าถึงแฟนสาว ที่เขาจะแต่งงานด้วย หล่อนเป็นคนบ้านวัดชัยฯ และเขากำลังเก็บเงินอยู่ เขาทำงานหลายอย่าง เป็นหมอนวดให้คนเฒ่าคนแก่ตามงานศพ ได้คนละยี่สิบ สามสิบบาท รวมกับเงินที่เดินเก็บลังกระดาษ ขวดและกระป๋องเบียร์ เขาว่ามีเงินเก็บหลายอยู่ เขาซ่อนเอาไว้ที่บ้าน

เขาพูดยิ้มตาหยี่อย่างมีความสุข เหมือนพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง The Eight Days เอามือจุ๊ปากให้ฉันเงียบ -อย่าบอกใครนะ- ว่าแล้วเขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบรูปคนรักให้ดู คนรักของเขาสวยทีเดียว มันทำให้ฉันนึกถึงดาราละครคนหนึ่ง ใช่ล่ะ เหมือนจอย ศิริลักษณ์มาก และเป็นหล่อนจริงๆ จอย ศิริลักษณ์ แฟนของพี่หล้าที่กำลังจะแต่งงานด้วย

เขาพลิกหลังรูปให้ดู มีตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือเรียบร้อยว่า “รูปถ่ายใบนี้ ให้พี่คนนี้คนเดียว” ฉันมองดูใบหน้ายิ้มแย้มและเขินอายของเขาอย่างมีความสุข.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๓

เศษเถ้าถ่านในอากาศ

ลมแล้งหอบพัดเอาฝุ่นผงคละคลุ้งในอากาศ ความร้อนแรงกำลังแผดเผาผืนโลก ความชุ่มชื้นระเหิดระเหยหายจนแห้งเหือด ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหมอกหม่นครึ้ม ไร้สีสันของท้องฟ้าแห่งฤดูร้อน ในความเงียบงัน จั๊กจั่นกรีดเสียงวังเวง

เศษเถ้าถ่านสีดำล่องลอยคละคลุ้งในอากาศ ปกคลุมแม่น้ำ ถนน บ้านเรือน และเมืองทั้งเมืองเอาไว้ จนทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ พร้อมจะแตกสลายเพียงแค่สัมผัสต้อง มิแตกต่างจากแม่น้ำ บ้านเมืองและผู้คน พร้อมจะแตกสลายหากถูกทำลาย

ในฤดูแล้งเช่นนี้ ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าปล่อยเศษเถ้าถ่านออกมาไม่จบไม่สิ้น เถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาไหม้และไฟป่า จากทุกหนทุกแห่ง ราวต้องการแผดเผาโลกให้สิ้นสูญ

เช่นเดียวกัน ไฟกำลังแผดเผาหัวใจทุกดวงของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำโขง.