วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๗

ศิลปินอ้วน

ฉันรู้จักศิลปินคนหนึ่ง ฉันขอเรียกเขาว่าศิลปินอ้วน คงไม่ผิดนักที่ฉันจะเรียกเขาเช่นนี้ เพราะร่างอันใหญ่โตด้วยไขมันของเขานั่งเอง และที่สำคัญ เขามีอารมณ์ดีอยู่เสมอ

ศิลปินอ้วนชอบมานั่งวาดรูปอยู่หน้าร้านกาแฟเกือบทุกวัน บางวันเขาจะมาตอนเช้า บางวันเขาจะมาตอนบ่าย บางวันเขามานั่งอ่านหนังสือ และหลับคาหนังสือ บางวันเขามานั่งดื่มกาแฟ และหลับคาถ้วยกาแฟ บางวันเขามานั่งเฉยๆ ไม่มีอารมณ์วาดรูป และหลายครั้งเขาจริงจังกับการวาดรูปมาก เขาชอบใช้พู่กันละเลงสีอย่างรวดเร็ว ด้วยอารมณ์อันบรรเจิด จากผ้าใบสีขาว แต่งแต้มด้วยสีสันกลับกลายเป็นรูปร่างสวยงาม

ภาพบางภาพของเขาดูไม่รู้เรื่อง แต่บางภาพของเขาง่ายและสื่ออารมณ์ได้ชัดเจน อีกบางภาพของเขา เต็มไปด้วยทีแปรงหมุนวนไปวนมาด้วยสีอันหลากหลาย ราวกับว่าเขายังหาทางออกให้กับความคิดตัวเองไม่ได้ ขณะที่บางภาพมีความสดใสของเด็กๆ

เขาสอนให้ฉันหัดวาดรูป เริ่มจากภาพนิ่ง ถ้วยกาแฟ แจกัน และสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในร้าน แต่ฉันมักจะวาดอะไรผิดเพี้ยนไปจากแบบเสมอ เส้นสายแข็งกระด้างไม่น่าดู ฉันหัดเขียนภาพแล้วภาพเล่า แล้วเอามาให้เขาวิจารณ์ เขาจะตำหนิ เอ่ยชมและให้กำลังใจอยู่เสมอ

ฉันว่าเขาเป็นคนที่น่าอิจฉา ฉันรู้สึกอิจฉาเขา เพราะเขาเป็นศิลปินอ้วน อารมณ์ดี และหลับง่าย.

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๖

ตลาดนัดวันศุกร์

ชีวิตคนเรามักจะเริ่มต้นในตอนเช้า พร้อมเสียงไก่ขันเจื้อยแจ้ว ในบรรยากาศสดใส ด้วยหัวใจอันสดชื่นรื่นรมย์

ดวงอาทิตย์มาเยือนอย่างช้าเชือน เสียงระฆังกังวานจากโบสถ์ เสียงนกร้องเริงร่า พระเดินบิณฑบาตไปตามบ้าน ร่างค้อมด้วยศรัทธาคารวะ ข้าวและอาหาร เสียงสวดคำพร ดังขึ้นและเลือนหาย

ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ ทยอยกันเข้ามาในตัวอำเภอ เพราะวันนี้มีตลาดนัดวันศุกร์ หลายคนจึงถือโอกาสมาธุระในอำเภอและซื้อข้าวของจำเป็นกลับไปยังบ้าน ผู้คนมากมายมายังตลาดนัด หลากหลายภาษาและเผ่าพันธุ์ หลากหลายเสื้อผ้าและการแต่งกาย แต่ยังมีภาษาหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเข้าใจกันและกัน มันปรากฏอยู่ในแววตา สีหน้าและรอยยิ้ม

เช่นเดียวกับผู้คนทางฟากฝั่งลาว หลังจากด่านเปิด พ่อค้าแม่ขายจากประเทศลาวข้ามมาซื้อสินค้าเพื่อเอากลับไปขาย เด็กหนุ่มเด็กสาวบางคนถือโอกาสข้ามมาเที่ยวประเทศไทย และเดินหาซื้อของในตลาดเอากลับไปใช้ในชีวิตประจำวัน

วันศุกร์เริ่มต้นด้วยความสดใสมีชีวิตชีวาของตลาด ผู้คนทักทายพูดคุย ยิ้มแย้มแจ่มใส พวกเขามารวมกันเพื่อทำให้วันนี้เสร็จสมบูรณ์ ก่อนแยกย้ายกลับไปบ้านเรือนของตน

ใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่ขายขาย ใครใคร่ซื้อเลือกซื้อตามสบาย ตลาดนัดเริ่มวายแล้ว เมื่อยามบ่ายมาเยือน ร้านค้าทยอยหายไปทีละร้านสองร้าน หลงเหลือเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ด้วยสัญญามั่นว่า วันศุกร์หน้าเราจะมาพบกัน.

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๕

ดอกงิ้วบาน

ปีใหม่ผ่านเข้ามาอีกหน ลมหนาวยิ่งหนาวเหน็บ ภาพแม่น้ำเลือนรางอยู่ในม่านหมอกขาวโพลน แสงแดดเอื้อไออบอุ่นให้แก่ยามเช้า อบอุ่นนุ่มนวลด้วยแสงแห่งรัก

ฉันนั่งรถคาริเบี้ยนสีเขียวมาตามถนนเลียบแม่น้ำโขง ธรรมชาติเผยความงดงามของโขดเขา ภาพแม่น้ำหลากไหล เกาะแก่งมะหินมะผา ท้องฟ้า และเมฆหมอก ใบไม้แปรเปลี่ยนสีสันแกว่งไกวในสายลมหนาว ดอกหญ้าเปล่งประกายตลอดสองข้างทาง ดอกไม้ป่าต่างอวดรูปโฉมโนมพรรณและสีสันงดงาม

เฉกเช่นต้นงิ้วริมฝั่งแม่น้ำโขง พวกหล่อนพยายามสลัดใบของตนให้หล่นร่วง เพื่อผลิสะพรั่งงดงามด้วยดอกดวงสีแสดแดงดั่งตะวันยามอรุณ แย้มบานสว่างไสวราวกับดอกดวงตะวันเล็กๆ นับพันนับหมื่นดวงมาอยู่รวมกัน เอื้อแสงให้ผู้ได้ยลรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

ดอกงิ้วแย้มบานแล้วในเช้าวันนี้ หลังการรอคอยเนิ่นนาน เฉกเช่นการรอคอยการมาเยือนของดวงตะวันยามเช้า ดวงดอกสีแดงเรื่อเรืองสว่างไสว ล้อแสงวิบวับกับประกายของสายน้ำ หยอกล้ออยู่เช่นนี้ ราวกับไม่มีวันเหือดหาย ดวงดอกแห่งตะวันมิอาจลับขอบฟ้าแม้ค่ำคืนจะมาเยือน แย้มบานอยู่เช่นนี้ สว่างไสวอยู่เช่นนี้ เรื่อเรืองอยู่เช่นนี้ ให้ดวงใจอบอุ่นแม้ในค่ำคืนอันหนาวเย็น

ดวงตะวัน
บานยามค่ำคืน
ที่ริมโขง.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๑๔

ลมพัดยอดไผ่

สายลมหนาวพัดโชยเข้ามาอีกระลอกในเช้าวันใหม่ ลมหนาวเดินทางไกลมาจากแผ่นดินใหญ่ทางเหนือ พาดผ่านแผ่นดินที่ราบสูงและหุบเขา เข้าสู่ดินแดนทางตอนล่างติดริมฝั่งทะเล

เสียงหวีดหวิวครวญครางปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาจากความฝัน ฉันเฝ้าฟังเสียงสายลมหนาวหยอกล้อยอดไผ่ภายนอก กระชับผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน เสียงที่ได้ยินทำให้ฉันนึกถึงภาพยอดไผ่ไหวเอนลู่ลมไปมาราวจะเริงรำ ปลิดปลิวใบไผ่ให้หมุนคว้างตามลม เสียงซู่ซ่าเสียดสีของลำไผ่ราวกำลังกรีดกรายอยู่ไปมา ดังเริงร่ายแห่งหญิงสาวในงานราตรีสโมสร

เสียงลมพัดยอดไผ่ทำให้ฉันลุกออกจากที่นอน ยามนี้ควรจะเป็นเวลาแห่งความมีชีวิตชีวามิใช่หรือ ฉันควรจะลุกขึ้นและออกไปเริ่มต้นวันใหม่มากกว่ามัวนอนจมความเกียจคร้านอยู่เช่นนี้
และจากนั้นชีวิตของฉันจึงเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับการเริงร่ายของยอดไผ่ลู่ลม.

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2550

ดอกไม้เล็กๆ บนถนนสายนั้น

หยดหนึ่งมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล


ดอกไม้เล็กๆ บนถนนสายนั้น

ถนนที่มืดมิดค่อยๆ สว่างเรืองขึ้นด้วยแสงแห่งยามเช้า พระเดินแถวเนิบช้า รับบาตรตามบ้านเรือนอันเงียบสงบ ชายผ้าเหลืองพลิ้วไหวล้อลมหนาวแผ่วจางก่อนลับหายไปยังถนนสายหลัก ที่ซึ่งมวลดอกไม้แย้มบานขึ้นมาได้ชั่วเพียงข้ามคืน...

วันวาน... ฉันเห็นมนุษย์นำพวกเธอมาประดับประดาอยู่ตามเกาะกลางถนน จัดตกแต่งเป็นสวนดอกไม้งามท่ามกลางความร้อนและฝุ่นควัน แต่พวกเธอก็ไม่เคยปริปากบ่น อาจเป็นเพราะพวกเธอเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลหรืออาจกำลังพักผ่อน กลีบใบของพวกเธอม้วนงอ ดวงดอกของพวกเธอสลดแดด เหี่ยวเฉา กระทั่งเย็นย่ำ มนุษย์จึงพากันจากไป ปล่อยทิ้งพวกเธอไว้ท่ามกลางความโดดเดี่ยว แม้พวกเธอจะมีอยู่อย่างมากมายเกินไปก็ตาม หากฉันรู้สึกว่าพวกเธอกำลังโดดเดี่ยวอย่างที่สุดในชีวิต

หลังผ่านค่ำคืนอันยาวนานและสายน้ำชุ่มฉ่ำที่มนุษย์นำมาราดรด พวกเธอค่อยๆ ตื่นฟื้น แย้มบานสดใส พูดคุยหยอกล้อเฝ้าชื่นชมกันและกัน อวดโฉมว่าตนเด่นเป็นสง่าที่สุดในงานเฉลิมฉลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น ฉันมองเห็นเธอเด่นชัดก็ในยามนี้ พวกเธอเฉิดฉายอยู่ในชุดหลากสีสันละลานตา มีทั้งเยอร์บีร่า อลิสซั่ม เดซี่ ผกากรอง ดาวเรือง ตาเสือ ผีเสื้อ สร้อยไก่ พวกเธอล้วนสดสวยและง่ามสง่าเหลือเกิน

แดดสาย... มนุษย์มากมายเริ่มทบทยอยกันมาบนท้องถนน เสียงดนตรีมโหรีดังกระหึ่ม เป็นสัญญาณการเริ่มต้นของงานเฉลิมฉลองประจำปี เสียงชื่นชมความงามของพวกเธอดังอยู่มิได้ขาด มนุษย์ต่างพากันถ่ายรูปคู่กับพวกเธอ เพื่อเป็นสักขีพยานในความงดงาม และเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ

หลายวันต่อมา ถนนกลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม การสัญจรกลับคืนสู่ภาวะปกติ ขณะดวงดอกของฉันตูมเต่งและพร้อมจะเบ่งบานอยู่ในกระถางริมทาง ครั้นเหลือบมองไปยังมวลดอกไม้บนถนนสายหลัก พวกเธอกำลังเหี่ยวเฉาโรยรา ดูพวกเธอโดดเดี่ยวยิ่งกว่าวันแรกที่มาถึง เพราะหลังจากงานเฉลิมฉลองเสร็จสิ้น แทบไม่มีใครมาคอยใส่ใจดูแลพวกเธออีกเลย มนุษย์ลืมแม้กระทั่งการรดน้ำให้กับพวกเธอ ต่างจากหญิงสาวผมยาวที่มารดน้ำให้ฉันทุกๆ เช้า เธอเฝ้าดูแลฉันเป็นอย่างดีเสมอมา

มันทำให้ฉันนึกถึงถ้อยคำของแม่ แม่ชอบเล่าถึงงานเฉลิมฉลอง เล่าถึงดอกไม้มากมายถูกนำมาตกแต่งประดับประดาอยู่ตามถนนหนทาง แต่สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้เหี่ยวแห้งเฉาตายไปโดยไม่ได้รับการเหลียวแล นั่นอาจเป็นเพราะพวกเธอมิได้มีความสัมพันธ์ใดใดกับสถานที่แห่งนี้ ไม่มีความผูกพันใดใดแม้แต่กับพวกมนุษย์ที่นำเธอมา

ต่างจากดอกใบของฉันที่มีค่าควรแก่การชื่นชม การมีอยู่ของฉันจึงมีความหมายสำหรับหญิงสาวผมยาว เช่นเดียวกับที่เธอมีความหมายสำหรับฉัน นั่นเป็นเพราะความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เธอจึงเป็นหญิงสาวผมยาวเพียงคนเดียวในโลกของฉัน*

เย็นย่ำลงแล้ว พวกมนุษย์กำลังนำพาพวกเธอจากไป มวลดอกไม้ที่เคยงดงาม และในวันพรุ่งนี้เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันรู้ดีว่าพวกเธอคงพากันจากไปหมดแล้ว กลับไปสู่ความโดดเดี่ยวอันมืดมิดหนาวเย็น ขณะที่ดวงดอกของฉันคงจะแย้มบานในแสงแรกด้วยรอยยิ้มแห่งปีติ รอคอยการมาถึงของหญิงสาวผมยาวคนนั้น

* ดาลใจจากดอกกุหลาบของเจ้าชายน้อย, อังตวน เดอ แซงเต็ก ซูเปรี
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับคัมภีร์ไบเบิล สอนโลกให้รู้วิธีที่จะรัก กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๕๐

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550

การเดินทางสามบรรทัด

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมเดินทางไปงานแต่งงานของเพื่อนที่อำภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมจึงถือโอกาสแวะที่อำเภอไชยา เพื่อเยี่ยมชมตลาด และโบราณสถานในละแวกใกล้เคียง ทั้งไม่ลืมไปเยี่ยมเยือนสวนโมกขพลาราม ผมได้เดินเรื่อยเปื่อยไปตามเส้นทางท่ามกลางหมู่ไม้รกครึ้มภายในสวนโมกข์ ฤดูฝนขับให้ผืนป่าที่นี่ชุ่มชื้นและครึ้มเขียวไปหมด ดูแล้วสงบเย็น เพียงแค่ได้เดินอยู่ในความเงียบสงบของที่นี่ ก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว

การได้ไปเยือนสวนโมกข์ ทำให้ผมนึกถึงการเขียนบันทึกสั้นๆ เหมือนครั้งไปเยือนแม่น้ำเงาเมื่อปลายปี ๒๕๔๔ ครั้งนั้นพวกเราพูดคุยกันว่า น่าจะเขียนอะไรกันคนละชิ้นสองชิ้นในการเดินทางร่วมกัน ผมจึงเลือกเขียนกลอนสั้นๆ สามสี่บรรทัด พร้อมด้วยบันทึกสั้นๆ เอาไว้ ครั้งนี้ผมจึงเลือกเขียนเป็นบันทึกสั้นๆ ประกอบกลอนสามบรรทัด เพื่อบันทึกเป็นการเดินทางสามบรรทัด เชิญทัศนา...


หัวลำโพง
เวทีสาธารณะ
เราล้วนเป็นตัวละคร

การเดินทางเริ่มต้นอีกครั้งที่หัวลำโพง ผู้คนในค่ำคืนนี้ไม่พลุกพล่านมากนัก แต่ละคนต่างมีจุดหมายของตัวเอง แต่ละคนต่างมีความใฝ่ฝันของตัวเอง แต่ละคนต่างออกเดินทางเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจากหัวใจของตนเอง เช่นเดียวกับฉัน

หัวลำโพง ศูนย์รวมคนเดินทางผู้แปลกหน้า เราร่วมอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เราร่วมกันแสดงอยู่บนเวทีของโลก บนเวทีของชีวิต มิต่างอะไรกับตัวละคร


ภายในตู้เสบียง
ผู้คนกินดื่ม
ชีวิต

บนรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ฉันนั่งอยู่ในตู้เสบียง เฝ้ามองดูผู้คนดื่มกินอาหาร พูดคุยและสรวลเสเฮฮา ภาพความมืดที่เคลื่อนผ่าน แต่ละสถานีที่เคลื่อนผ่าน ชีวิตได้เคลื่อนผ่านไปพร้อมกับวันเวลา ฉันพบความชราภาพในตัวเอง


ความมืดอันยืดยาว
ขบวนรถไฟใจ
ดูจะไร้จุดหมายปลายทาง

ความมืดรินไหลราวไม่สิ้นสุด ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟ เสียงกึงกังของล้อเหล็กเบียดเสียดรางบ่งบอกให้รู้ถึงหนทางอันยาวไกล จุดหมายของการเดินทางอาจมิไกลเกินไปนัก หากแต่จุดหมายแห่งหัวใจ อยู่ที่ใดนั้น ดูจะมืดมนหนทาง และไร้จุดมุ่งหมาย


รุ่งเช้า
โลกเปิดเปลือกตา
ชมมหรสพชีวิต

ฉันตื่นขึ้นมาเมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง รับรู้ถึงอากาศเย็นชื้นของสายฝนแห่งค่ำคืน ความชุ่มชื่นของต้นไม้ใบหญ้า หยาดน้ำค้างค้างเกาะใบไม้ มองเห็นสวนยางพารา ต้นมะพร้าว ตาลโตนด และท้องทุ่งนากว้างไกลสุดสายตา ขณะท้องฟ้าชักม่านเปิด ดวงอาทิตย์ไขแสง มหรสพแห่งชีวิตของที่นี่ เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


หม้อกาแฟกรุ่นไอร้อน
พระเดินบิณฑบาต
เนิบช้า

ฉันลงรถไฟที่สถานีไชยา สถานีเล็กๆ อันสงบเงียบของเมืองอันเงียบสงบ ฉันมองหาร้านกาแฟที่ซ่อนตัวอยู่ในตลาด เดินสวนกับพระที่ออกเดินบิณฑบาตมาตามถนนหนทาง แต่ละย่างก้าวสงบเงียบราวมิปรารถนารบกวนเวลาตื่นนอนของสรรพสัตว์ ค้อมกายนิ่งรับบาตรตามบ้านเรือน

นั่นไง ร้านกาแฟเก่าแก่ริมทางต้อนรับคนแปลกหน้า กรุ่นไอน้ำร้อนคลุ้งรอคอย...


ซากอิฐเก่าแก่
ความรุ่งเรืองแห่งอดีต
เผยตัวอยู่ตรงหน้า

ฉันนิ่งมองดูโบราณสถานศิลปะสมัยศรีวิชัยของวัดหลง เป็นซากอิฐเก่าแก่ พืชมอสขึ้นเขียวครึ้ม ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าอันเงียบเหงาและโดดเดี่ยว มิหลงเหลือร่องรอยความรุ่งเรืองแต่อดีตกาล แม้จะมีการสัณนิฐานกันว่า ไชยาเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยมากว่าหกศตวรรษ เป็นอาณาจักรที่มีความเจริญสูงสุด จากหลักฐานการค้นพบโบราณสถานและโบราณวัตถุอันเก่าแก่ คือพระบรมธาตุไชยา พระเจดีย์หรือปราสาทอิฐ ซึ่งบันทึกในศิลาจารึกสามองค์ที่วัดเวียง วัดแก้ว และวัดหลง

จากประวัติความเป็นมาทำให้ซากโบราณแห่งอดีตค่อยๆ เรืองรองขึ้นในใจ ราวจะนำพาเราให้พลัดหลงไปสู่ความรุ่งเรืองแห่งอดีตอีกครั้ง


พระพุทธรูปศิลาทราย
ดวงตา
สบดวงตา

ฉันก้มลงกราบเบื้องหน้าพระพุทธรูปศิลาทราย บริเวณด้านนอกของพระบรมธาตุไชยา พระพุทธรูปทั้งสามองค์ ดวงหน้ามีรูปลักษณ์อันแตกต่าง หากทว่าดูสงบ ดวงตาเปิดเพียงเล็กน้อยค้อมมองอย่างสำรวม ริมฝีปากแย้มอิ่ม สุขสงบ
ฉันเงยหน้าขึ้นสบมองดวงตาศิลาทราย ราวดวงตาสบดวงตา นิ่งงัน...


เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามา
หริ่งเรไรร้องระงม
แว่วเสียงธารน้ำไหล

เพียงแค่ย่างก้าวเข้าสู่สวนโมกขพลาราม เสียงจากโลกภายนอกดูเหมือนถูกกันออกห่างจากสรรพเสียงของจิ้งหรีดและเรไร

เนิ่นนานหลายปี วันเวลาได้นำพาฉันกลับมาที่นี่อีกครั้ง มาเฝ้าฟังเสียงพระธรรมรินผ่านสายลมโยกไหวยอดไม้ ใบไม้หล่นกระทบพื้น ไก่คุ้ยเขี่ยหาอาหาร และการขับบรรเลงของเพลงไพร เสียงพระธรรมค่อยๆ ก่อความสงบในจิตใจของฉัน เพื่อให้ฉันได้มีโอกาสหยุด และเฝ้าฟัง


ดั่งเคยอยู่
เหมือนไม่เคยอยู่
บนม้าหินตัวเดิม

ฉันนั่งเงียบ เฝ้ามองม้าหินตัวหนึ่ง ดั่งปริศนาธรรม “ตัวกู-ของกู ปล่อยวาง ซึ่งตัวกู-ของกู”

บนม้านั่งตัวนี้ ท่านพุทธทาสเคยนั่งบรรยายธรรมและต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ แต่วันนี้แม้ไม่มีท่านอยู่แล้ว แต่เหมือนท่านยังคงอยู่ ดั่งเคยอยู่ เหมือนไม่เคยอยู่ ปล่อยวางตัวกู-ของกู

๑๐
เพลงกล่อมเด็กแว่วยิน
หมากพร้าวกลางทะเลขี้ผึ้ง
ผู้พ้นบุญอยู่หนใด

ฉันเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงสระนาฬิเกร์ มองดูมะพร้าวยืนต้นโดดเดี่ยวกลางสระน้ำ เสียงเพลงกล่อมเด็กล่องลอยผ่านเข้ามา

เอ่อน้องเอย มะพร้าวนาฬิเกร์
ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง
ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง
กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย

มะพร้าวยังยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ที่นี่ คล้ายดั่งรอคอย...

๑๑
โบสถ์ธรรมชาติ
แวดล้อมด้วยต้นไม้
และเสียงนกร้อง

ฉันเดินหลงเวียนอยู่เนิ่นนานเพื่อหาทางขึ้นสู่โบสถ์ธรรมชาติเขาพุทธทอง ยิ่งเดิน ดูเหมือนยิ่งห่างไกล ทว่าหนทางย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะค้นหาพบหรือไม่

ฉันก้มลงกราบหน้าพระประธาน สงบนิ่ง เฝ้าฟังเสียงของความเงียบ เสียงบทสวดสาธยายมนต์รินผ่านสายลมที่โยกไหวใบไม้ ในเสียงนกร้อง และหริ่งหรีดเรไรระงม

เพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ ฉันพลันได้ยินเสียงใจของตัวเอง

๑๒
ก้อนหิน
นิ่งสงบ
ฟังเสียงสายลมพัดผ่าน

ฉันเฝ้ามองก้อนหิน นิ่งสงบ ไม่เคลื่อนไหว สายลมเป่าพัดลมหายใจ ก้อนหินพลันมีชีวิต ขณะฉันนิ่งสงบ ไม่เคลื่อนไหว อุ่นอวลในลมหายใจ เหมือนมีใครเฝ้ามอง.