เรื่อง: วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล
ภาพ: นุชารียา
แด่นกเล็กๆ ที่ร้องเพลงอยู่ในหัวใจ
ผมอยากเล่าถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นให้นายฟัง...
กลางดึกคืนหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีใครคนหนึ่งมานั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ครั้นผมเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ ผมเห็นเด็กชายเล็กๆ คนหนึ่งอายุประมาณห้า-หกขวบนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่เงียบๆ ผิวสีขาวเรืองรองอยู่ในแสงสีส้ม ผมสีเงินสุกสกาวราวกับดวงดาวในความมืด ผมรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นความจริงหรือเป็นความฝันกันแน่
“เธอเป็นใคร? ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ได้?” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยดวงตากลมโตสีฟ้า น้ำรื้นนัยน์ตา เขาพูดด้วยภาษาแปลกๆ แต่ผมกลับเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามบอก
“เธอหนีมา เพราะพวกเขาไม่รักเธอหรือ? ทำไมกัน? เพราะเธอเป็นเด็กเลวน่ะหรือ? ฉันว่าเธอซนแค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อยู่ที่นี่พวกเขามาตีเธอไม่ได้หรอก...เงียบเถอะนะ อย่าร้องไห้เลย” ผมพยายามปลอบเขา รั้งตัวเขาเข้ามากอด และเช็ดน้ำตาให้เขา
“เธอทำให้ฉันนึกถึงใครคนหนึ่งรู้ไหม?” ผมบอกกับเขา เขาทำให้ผมนึกถึงเซเซ่ เด็กชายตัวเล็กๆ ผู้อ่อนไหว เขามีผิวขาวต่างจากพี่น้อง ผมสีบรอนด์ และเป็นลูกครึ่งอินเดียนพินาเจ้คนนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นมองผม และยิ้ม ราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“อย่าบอกนะว่าเธอเป็น...” ผมพูดอะไรต่อไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นหนังสือต้นส้มแสนรัก* วางอยู่ข้างๆ ที่นอน ขณะเขามองดูผมและยิ้มทั้งใบหน้าอย่างเจ้าเล่ห์
“ฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้พบเธอ เซเซ่” ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก กอดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม มันคงเหมือนกับเราบังเอิญได้พบใครคนหนึ่งที่อยู่ในใจเรามาเนิ่นนาน
“เป็นยังไงบ้าง? เธอสบายดีใช่ไหม? มิงกินโยเป็นยังไงบ้าง? แล้วโปรตุก้าล่ะ? กลอเรีย และพระเจ้าหลุยส์ด้วย พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง?” ผมมองดูใบหน้าเศร้าๆ ของเขา น้ำตาดูเหมือนจะรื้นไหลอีกครั้ง “นี่พวกเขายังไม่เลิกตีเธออีกหรือ?”
“พวกเขาสัญญาว่าจะตีผมให้น้อยลง แต่ยามที่พวกเขาตีผม โกเดียก็ช่วยผมไม่ได้...” เขาเงียบไปพักหนึ่ง และพูดต่อ “เจ้าชายหลุยส์น่ารักมาก เขาเป็นเด็กดี ส่วนโปรตุก้า เขาตายเสียแล้ว... รถไฟมานการาติบา ไอ้ฆาตกรทรยศ!!” เขาร้องอย่างมีอารมณ์ พลางสะอึกสะอื้น ผมกอดเขาไว้แน่น พลางปลอบโยน
“แล้วมิงกินโย ต้นส้มของเธอล่ะ” ผมกระซิบถาม
“นายไม่รู้หรือว่าเขาโค่นต้นส้มของผมไปเสียแล้ว โธ่...ซูรูรูก้า ไม่น่าเลย” เขารำพึงรำพัน ผมไม่อยากเห็นเขาเศร้าอย่างนี้เลย เขายังเด็กมาก เขาควรที่จะร่าเริงสดใสถึงจะถูก แต่ผมไม่รู้จะปลอบเขาอย่างไร นอกจากกอดเขาไว้ พูดกับเขาอย่างอ่อนโยน และให้ความรักกับเขา
การมาของเซเซ่ในคืนนั้นทำให้ผมนึกถึงเจ้าหนูเล็ก แฝดผู้น้องหลานชายของผม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมอาจทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ขณะเดียวกันเขาก็สอนอะไรให้ผมหลายอย่างในคราวนั้น เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงฤดูหนาวปีนั้น น้ำเหนือถูกปล่อยลงมาจนท่วมท้นไปทั่วทั้งท้องทุ่ง บ้านเราเป็นเหมือนเกาะอยู่กลางทะเล น้ำท่วมปริ่มอยู่ตามถนนหน้าบ้าน วันนั้นแม่ของผมเดินเข้าไปในสวนที่น้ำเริ่มท่วมคันดิน เจ้าหนูเล็กร้องตามไปด้วย ซึ่งตอนนั้นผมกำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน ใจนึกห่วงกังวลว่าเขาจะตกน้ำเพราะตามย่าไป เพราะบางช่วงน้ำลึกมาก ผมจึงเดินไปอุ้มเขาที่กำลังยืนกรีดร้องอยู่ริมน้ำปากทางเข้าสวน พาเขากลับมายังกระท่อม พยายามบอกถึงเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อไม่ให้เขาตามย่าไป แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง ครั้นพูดนานเข้าเขาก็ยังงอแงทำเป็นไม่รู้เรื่อง ผมจึงสุดโมโห จับตัวเขาเขย่าไปมาด้วยความโกรธ หยิบไม้ไผ่ขึ้นมาหวดเต็มแรงจนไม้แตกกระจาย...
เปล่าเลย ผมไม่ได้ตีโดนเขา แต่ผมตีไปที่เก้าอี้ แต่มันก็ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าความโกรธของผมทำให้เขาร้องไห้ ยืนสั่นเทาด้วยความกลัว ไม่กล้ามองหน้าผม และวิ่งหนีกลับเข้าไปในบ้านใหญ่
ตอนเย็นเมื่อแม่กลับเข้ามาแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาบอกกับแม่ผมถึงเรื่องนี้หรือเปล่า แต่เย็นนั้น เขาเดินมาหาผม และยืนนิ่งอยู่หน้าประตูกระท่อม ลังเลว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ ผมจึงเรียกเขาเข้ามา เขาเดินมาหาผมช้าๆ หวาดกลัวและไม่แน่ใจ คงกลัวว่าผมจะดุเขาอีก แล้วเขาก็โผเข้ามากอดผม เรากอดกันแน่น ต่างไม่ได้พูดอะไรกัน ความเงียบ ช่างยาวนานเหลือเกิน
ผมรู้ว่าการโอบกอดของเขาคือสื่อแสดงแทนถ้อยคำขอโทษ และให้อภัยในความเลวร้ายที่ผมกระทำต่อเขา และมันทำให้ผมรับรู้ถึงความอ่อนไหวของหลานชายคนนี้ ยิ่งทำให้ผมนึกถึงเด็กชายเล็กๆ อีกคนหนึ่งที่มีความอ่อนไหวและอ่อนโยนไม่ได้แตกต่างจากเซเซ่ หรือหนูเล็กเลย นั่นคือภาพแห่งวัยเยาว์ของตัวผมเอง ซึ่งความเป็นผู้ใหญ่ในตัวผมเกือบจะทำร้ายเราทั้งสองคน
เซเซ่จากไปเมื่อผมหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดไปยังบทที่ชื่อคำขอร้อง ซึ่งอ่านค้างไว้ก่อนนอนหลับไป ก่อนลาจาก เขายิ้มให้ผม แสร้งทำเป็นร่าเริง เพื่อไม่ให้ผมกังวลไปกับเรื่องราวของเขา
“นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ จะไม่มีใครตีผมได้อีกแล้ว” เขายิ้มและโบกมือให้ผมเหมือนที่พระเจ้าหลุยส์โบกมือให้กับรถไฟ และเดินหายเข้าไปในหนังสือ
นายรู้หรือเปล่าว่าผมรู้สึกเช่นไร ผมไม่อยากเห็นเขาถึงวัยที่มีเหตุผลหรือเติบโตเป็นผู้ใหญ่รวดเร็วเกินไปนัก ผมอยากให้นกเล็กๆ ยังร้องเพลงอยู่ในหัวใจของเขา อยากเห็นเขาเป็นเด็กที่ร่าเริง สดใสและอ่อนโยนอย่างนี้ตลอดไป เพียงแต่ว่านายช่วยเก็บความเศร้าให้พ้นไปจากมือของเด็กๆ หน่อยได้ไหม**
* ต้นส้มแสนรัก โจเซ่ วาสคอนเซลอส: เขียน, มัทนี เกษกมล: แปล, สำนักพิมพ์ดวงกลม, พิมพ์ครั้งแรก: ๒๕๒๒
** ชื่อหนังสือบทกวีของศิริวร แก้วกาญจน์, เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก เข้ารอบรางวัลซีไรต์ปี ๒๕๕๐
หมายเหตุ: พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับชีวิตในโลกเสมือนจริง ๒๕๕๑