วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๘

อิสรภาพ

ปลาเทพเจ้าตายเสียแล้วตอนบ่ายของวันนี้ ก่อนถูกปล่อยกลับคืนสู่แม่น้ำโขง

นับเป็นปลาเทพเจ้าตัวที่สองของปี ถูกจับได้เมื่อสองวันก่อน ชาวบ้านหาดไคร้ช่วยกันซื้อไถ่ชีวิต เพื่อปล่อยกลับคืนสู่ชีวิตตามธรรมชาติอีกครั้ง

สองวัน หนึ่งคืนในถุงตาข่ายแคบๆ ผูกติดไม้ไผ่ลอยน้ำ ผู้คนนับร้อยพากันมาดูปลาเทพเจ้า ทุกคนอยากรู้อยากเห็น อยากได้สัมผัส นักข่าวพากันมาถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ พวกเขาอยากได้รูปของท่านเต็มๆ ตัว หากแต่ไม่ยอมเข้าไปเห็นธรรมชาติของท่าน แต่ปรารถนาให้ยกชูปลาเทพเจ้าขึ้นมา

“ปลาเทพเจ้าตายเสียแล้ว” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ย เมื่อฉันมาถึง

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยของบาดแผล บาดแผลของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ มันเป็นการต่อสู้กับจิตใจรักอิสระของตัวเอง เพื่อคืนสู่อิสรภาพ

ฉันได้แต่เฝ้ามองดูภาพเบื้องหลังแห่งการต่อสู้ในครั้งนี้ ฉันรู้เขาเป็นอิสระแล้ว ในขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกรัดรึงอยู่ในร่างตาข่ายจมอยู่ใต้กระแสน้ำเย็นยะเยือก เนื้อตัวของฉันเต็มไปด้วยริ้วรอยของบาดแผล และในที่สุดการดิ้นรนต่อสู้ของฉันก็จบลงเช่นเดียวกัน

ฉันรู้ ปลาเทพเจ้าเป็นอิสระแล้ว.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๗

ชะตากรรมของปลาเทพเจ้า

ในยามเช้าของวันที่หม่นมัว ข่าวคราวปลาเทพเจ้าตัวแรกของปีแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเล็กๆ แห่งนี้

พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกผ่านพ้นไปแล้ว ดอกซอมพอแย้มบานแล้ว นกนางนวลสามสี่ตัวโบยบินเหนือเส้นขอบฟ้า สัญญาณลึกลับของธรรมชาติ ชักนำปลาเทพเจ้าให้ออกจากวังบาดาล เดินทางไกลเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ของตน

ปีหนึ่งๆ ปลาเทพเจ้าสักกี่ตัวกัน รอดพ้นจากมองยักษ์ของชาวประมง ซึ่งเป็นเสมือนมือขนาดใหญ่คอยดักจับลูกหลานเผ่าพันธุ์ของปลาเทพเจ้า โอกาสที่จะได้ลืมตาชื่นชมโลกบาดาลเฉกเช่นบรรพบุรุษ ริบหรี่เหลือเกิน

กี่ร้อยกี่พันปีมาแล้ว ที่พวกเขาเดินทางไกลในสายน้ำแห่งนี้ ตลอดทั้งสายน้ำเปรียบดังอาณาจักร ทุกเส้นสาหร่ายที่ได้ดื่มกิน ทุกเกาะแก่ง ทุกคก ทุกวังบาดาลเคยเที่ยวเล่นหลับนอน บ้านของเรากำลังถูกพรากทำลาย เผ่าพันธุ์ของพวกเราถูกพรากให้สิ้นสลาย

ฉันเฝ้ามองปลาเทพเจ้าด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง ร่างถูกผูกมัดกับลำไผ่ เชือกผูกร้อยทะลุเหงือก เลือดเข้มข้นลอยไปตามแม่น้ำ ฉันได้แต่คาดหวัง การเสียสละของเขาจะไม่สูญค่า ฉันได้แต่คาดหวัง

ฉันยืนหลับตานิ่ง มองเห็นตัวเองเดินลงน้ำ กอดปลาเทพเจ้าเอาไว้ในอ้อมแขน พร่ำขอโทษแทนเหล่ามนุษย์ผู้ไร้ค่าเช่นพวกเรา.

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๖

ตัวละครในนวนิยาย

สายลมแผ่วเย็นพัดผ่านเข้ามาในเช้าวันนี้ วันที่ยังความสดชื่นรื่นรมย์แก่ชีวิต

ตลอดหนึ่งปีแห่งการรอคอย จากวันสงกรานต์ปีกลายที่ฉันและเธอมีโอกาสเล่นน้ำด้วยกัน ตั้งแต่วันนั้น ฉันเฝ้ารอคอยเวลาที่จะได้พบเธออยู่เสมอ เฝ้ารอโอกาสพูดคุยทักทาย แต่โอกาสไม่เคยมาถึงเลย ฉันรู้ ฉันรอคอยวันสงกรานต์มาตลอดทั้งปี รอคอยโอกาสที่จะได้เล่นน้ำกับเธออีกครั้ง

แล้ววันสงกรานต์ก็มาถึง แม้เรามิได้เล่นน้ำด้วยกันเช่นปีก่อน หากทว่าเธอเดินเข้ามา ฉันทักทายด้วยการรดน้ำอันฉ่ำเย็น ดูเหมือนเธอจะรู้ว่า นั่นคือน้ำใจของฉัน

ฉันจึงมีวันนี้อีกครั้งหนึ่ง วันที่สายลมแผ่วเย็นพัดผ่านเข้ามายังความสดชื่นรื่นรมย์ วันที่มีเธอนั่งอยู่ใกล้ๆ ได้เดินเคียงข้างกัน และได้ลงเล่นน้ำโขงด้วยกัน

เธอเล่าถึงวันคืนเก่าๆ อย่างสงบ หลายครั้งที่เธอและน้องชายสวมเสื้อชูชีพ ว่ายน้ำข้ามไปยังดอนโป่ง แค่เพียงมองเห็นความกว้างใหญ่ของแม่น้ำในช่วงนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกหวาดพรั่นเสียแล้ว

ฉันเชื่ออยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยการบ่มเพาะและรอคอย ช่วงเวลาอันเหมาะสม ช่วงเวลาอันสุกงอมหอมหวานแห่งชีวิต

เธอทำให้ฉันนึกถึงตัวละครใน “เงาจันทร์บนแผ่นน้ำ” ธารรินคนนั้น เพราะเธอทำให้ฉันนึกถึงสายน้ำ เรียบเรื่อยและฉ่ำเย็น ปล่อยตัวเองให้ล่องไหลไปตามครรลองของสายน้ำ

ดูเหมือนฉันจะได้พบกับตัวละครในนวนิยายของฉันแล้ว นวนิยายที่ทำให้ฉันเดินทางออกจากบ้านเพื่อตามหาบางสิ่งบางอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง แล้วฉันก็ได้มาพบเธอ.

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๕

เทศกาลฤดูร้อน

กระแสลมร้อนพัดผ่านเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง ท่ามกลางฤดูร้อนที่มีสายน้ำฉ่ำเย็น

เทศกาลฤดูร้อนเริ่มต้นขึ้นในยามเช้าอันสดกระจ่าง เสียงนกขับขานมาจากพุ่มพฤกษ์ ชาวบ้านชักชวนกันไปทำบุญที่วัด หนุ่มสาวชักชวนกันออกมาเล่นสาดน้ำ เด็กๆ ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ผู้คนมากมายพากันออกมาจากบ้านแห่งหุบเขาดงดอย หนุ่มสาวม้งลงมาเที่ยวงานปีใหม่เมือง เดินไปมาบนถนนริมฝั่งแม่น้ำ ร่างกายชุ่มชื่น ใบหน้าแย้มยิ้ม

เนิ่นนานมาแล้วที่ไม่มีโอกาสเข้ามาเที่ยวในเมืองเช่นนี้ หนุ่มสาวม้งจึงถือโอกาสออกมาเที่ยวงานปีใหม่เมืองที่จัดในอำเภอเชียงของ แม้ว่าอากาศจะร้อน แดดจะแรงเพียงไร ทุกคนยังยิ้มได้ ยิ้มให้กับการลาดรดอันฉ่ำเย็น

บนถนนสายกลาง เด็กๆ และหนุ่มสาวตั้งป้อมน้ำ สาดรดสายน้ำให้กันและกัน ลาดรดให้หัวใจชุ่มเย็น เทศกาลกลางฤดูร้อน เทศกาลแห่งความฉ่ำเย็น

ตะวันคล้อยดวงลับจากเทือกเขาแล้ว.

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คนรักระหว่างบรรทัด 2

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล: เรื่อง
นุชารียา: ภาพ

เส้นทางสายไหม*


“คุณเชื่อหรือไม่ ความรักทำให้มนุษย์เราเดินทางข้ามโลกได้” เขาเอ่ยขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ขณะข้ามแดนตรงด่านห้วยทราย เมืองเชียงของทอดสงบอยู่เบื้องหน้า แม่น้ำโขงพริบพรายในแสงแดดสุดท้ายก่อนเร้นหายหลังเทือกภูอันหนาวเย็น เรานั่งเรือโดยสารมาจากหลวงพระบางด้วยกัน และกำลังจะข้ามกลับไปยังฝั่งไทย ผมจะพักอยู่ที่เชียงของอีกสองสามวัน เพราะที่บ้านคงไม่มีใครรอคอยการกลับมาของผม ส่วนเขาจะนั่งรถเข้าเชียงรายเพื่อขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพฯ และเดินทางกลับบ้านที่ฝรั่งเศส ผมไม่รู้ว่ามีใครรอคอยเขาอยู่ที่นั่น
ผมมองดูเขา ยิ้มเหมือนไม่เชื่อ

“คุณเคยได้ยินเรื่องราวของเส้นทางสายไหมบ้างหรือเปล่า” เหมือนคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เขาพูดต่อ “ผมรู้จักชายคนหนึ่ง เคยเดินตามเส้นทางสายนี้มายังประเทศญี่ปุ่น เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอบอกเขาว่า ‘จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย’”

“แล้วเขาก็เชื่อเธอ?” ผมเห็นเขาพยักหน้าอย่างเศร้าๆ และยิ้ม

เมื่อประมาณปีค.ศ. ๑๘๖๑ โฟลแบรฺกำลังจะจบนวนิยายเรื่อง ซาลองโบ แสงสว่างจากไฟฟ้ายังเป็นเพียงทฤษฎีและอีกฟากฝั่งของมหาสมุทร อับราฮัม ลินคอล์นกำลังเริ่มต้นสงครามที่ยังไม่เห็นจุดจบ เขาใช้เวลาสามเดือนเพื่อเดินทางจากลาวิลดิเยอ ข้ามพรมแดนใกล้เมืองเมตซฺ ผ่านแคว้นวูเต็มแบร์กและบาวาเรีย เข้าสู่ออสเตรีย นั่งรถไฟไปเวียนนาและบูดาเปสต์จนถึงเมืองเคียฟ เขาขี่ม้าผ่านทุ่งหญ้าสเตปป์ในรัสเซีย ไต่เทือกเขายูราล ถึงไซบีเรีย และเดินทางต่อจนถึงทะเลสาบไบคาล จากนั้นจึงล่องตามแม่น้ำอามัวร์เลียบชายฝั่งจีนจนถึงมหาสมุทร หยุดรอเรือพ่อค้าของเถื่อนชาวดัชท์ที่ท่าเรือเมืองซาเบิร์กเพื่อต่อไปยังแหลมเทรายะของญี่ปุ่น เดินเท้าจากเมืองอิชิงาวะจนถึงเมืองชิระงาวะ แล้วหันสู่ทิศตะวันออกรอชายชุดดำมาพาเขาไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อซื้อไข่ไหม และเดินทางกลับโดยย้อนตามเส้นทางเดิมอีกสามเดือนเพื่อกลับมายังลาวิลดิเยอในอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงคนนั้น” ผมยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามเอ่ยเล่า

“เขาพบเธอที่หมู่บ้านแห่งนั้น เธอผู้มีใบหน้าของเด็กสาวอยู่ในชุดผ้าไหมสีสด ผิวขาว ไม่ได้มีหนังตาชั้นเดียวแบบชาวตะวันออก และดวงตานั้น จ้องมองดูเขานิ่งงัน...”

“นั่นทำให้เขาสนใจเธอ” ผมเอ่ยถาม

เขามิได้ตอบในทันที เราข้ามเรือด้วยกันอย่างเงียบๆ แม่น้ำโขงดูนิ่งงันหากทว่าเรื่อยไหล เมื่อเรือเข้าเทียบฝั่ง เขาก้าวขึ้นจากเรือ เดินช้าๆ เพื่อรอผม ครั้นผมตามมาทัน เขาจึงหันมาพูด

“มันทำให้เขาไม่ลังเลที่จะออกเดินทางอีกครั้งเมื่อถึงต้นเดือนตุลาคม ครั้งที่สองนี้ เขาได้รับกระดาษชิ้นเล็กนิด ตัวหนังสือสองสามตัวเรียงกันในแนวตั้ง เขียนด้วยหมึกดำ”

“มันเขียนไว้ว่า จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย” ผมคาดเดา

เขายิ้มและพยักหน้าน้อยนิด

“เขาจึงออกเดินทางอีกครั้ง แม้สถานการณ์ญี่ปุ่นในตอนนั้นเริ่มส่อให้เห็นถึงภาวะของสงครามกลางเมือง และเมื่อเขามาถึงหมู่บ้าน พลันนั้น ท้องฟ้าเหนือบ้านเรือนปรากฏฝูงนกนับร้อยตัว ปีกหลากสีระเบิดออกราวกับพลุและเมฆสารพัดสีคลี่กระจายออก เป็นฝูงนกจากกรงขนาดใหญ่ของฮาระ เคอิ เขารู้ว่ามันคือสัญญาณ”

“จากเธอคนนั้น” ผมเห็นรอยยิ้มของเขา

“เขาพบเธอยืนอยู่หน้ากรงนกที่เปิดกว้าง ทุกส่วนบนใบหน้าของเด็กสาวแย้มยิ้ม”

“แล้วนกพวกนั้นล่ะ”

“แล้วพวกมันจะกลับมา มันยากเสมอที่จะห้ามใจไม่ให้กลับมามิใช่รึ ฮาระ เคอิพูดเช่นนั้น… ครั้นรุ่งเช้าเขาแลกเปลี่ยนไข่ไหมสีงาช้างกับเกล็ดทองคำ ทว่าฮาระ เคอิกับผู้ติดตามออกเดินทางไปแล้ว ขากลับ ขณะขี่ม้าผ่านป่าห่างไกลจากหมู่บ้าน เขาพบนกนับพันหลบพักอยู่ในพุ่มไม้ จึงหยิบปืนยิงขึ้นฟ้าหกนัด ฝูงนกตกตื่นบินสู่ฟ้าราวกับควันที่กระจายออกจากกองเพลิง

“ปีรุ่งขึ้น เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาเลือกเดินทางอีกครั้งท่ามกลางเสียงคัดค้านของเจ้าของโรงปั่นไหม ด้วยเกิดสงครามของพวกกบฎในญี่ปุ่น หมู่บ้านของฮาระ เคอิถูกเผาราบ เบื้องหน้าของเขามองเห็นแต่ความว่างเปล่า ราวกับมันคือสุดขอบโลก”

ผมนิ่งเงียบ รอให้เขาเล่าต่อ

“เขาพบเห็นความเลวร้ายของสงคราม เด็กชายที่พาเขาติดตามขบวนของฮาระ เคอิถูกลงโทษถึงตายเพราะนำสารรักกลับมาให้นายหญิงของตน ครั้งนั้นเขาได้ไข่จากเจ้าหน้าที่รัฐด้วยการติดสินบน แต่การเดินทางของเขาล่าช้าเกินไป อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตัวอ่อนนับล้านพลันตายสิ้น

“เมื่อกลับมาถึง เขาใช้สมบัติทั้งหมดที่มีช่วยเหลือคนงานในเมืองด้วยการจ้างชายหญิงให้ช่วยสร้างสวนป่า ปลูกดอกไม้ทุกชนิด มีทะเลสาบ และสร้างกรงนกขนาดใหญ่ถักทอด้วยไม้และเหล็ก ด้วยความโศกเศร้าอาลัย เขามีชีวิตอยู่เหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลก

“สองเดือนต่อมาเขาได้รับจดหมายเขียนด้วยอักษรสีดำ ดูคล้ายรอยเท้านกอันยุ่งเหยิงบนกระดาษเจ็ดแผ่น เขาให้มาดามบลองชฺช่วยอ่านให้ฟัง มันเป็นจดหมายจากสาวญี่ปุ่นคนนั้น เพื่อให้เขาได้สัมผัสในสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัส และเพื่อที่จะได้ลืมเธอ...”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ผมถามเมื่อเห็นเขาเงียบอยู่นาน

“เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเอแลนภรรยา สามปีต่อมา เขาจึงได้รู้ว่าเอแลนเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนั้นและให้มาดามบลองชฺคัดลอกหลังจากเธอล้มป่วยและตายด้วยโรคไข้สมอง ทำให้เขารู้สึกเศร้าที่หลายปีก่อนหน้านั้น เขาหลงลืมเธอ ลืมความรักที่เธอมีให้เขา ตั้งแต่นั้นเขาเริ่มมีความสุขที่จะเอ่ยเล่าถึงการเดินทางให้คนอื่นๆ ฟัง เมื่อความเหงาบีบคั้นหัวใจ เขาจะไปสุสานเพื่อพูดกับเอแลน นานๆ ครั้ง ในวันที่ลมพัดแรง เขาจะลงไปถึงทะเลสาบเพื่อเฝ้ามองลวดลายบนผิวน้ำ แผ่วเบา...ราวกับเป็นภาพชีวิตของเขาเอง”

เมื่อผ่านพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เชียงของ ผมเรียกรถเครื่องสามล้อ บอกให้สารถีไปส่งเขาที่ท่ารถเชียงของ-เชียงราย

“ขอบคุณมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง”

เขาบีบมือผมไว้แน่นพลางเอ่ย “ที่ผมเล่าให้คุณฟัง ผมเพียงอยากให้คุณดูแลห่วงใยคนรักของคุณ เธอรักคุณนะ ผมอยากเห็นคุณกลับไปหาเธอ” เขาพูดขณะก้าวขึ้นนั่งบนรถเครื่องสามล้อ มองดูผมด้วยดวงตาเศร้าสร้อย รถเคลื่อนห่างจากไป

“แอรฺเว ฌองกูรฺ จำชื่อของผมไว้นะ ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นเหมือน...” ประโยคสุดท้ายของเขาแผ่วบางในสายลม
ผมนึกถึงเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟัง อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าผมหมองหมางใจกับคนรัก เขาจึงเอ่ยเล่าเรื่องของชายผู้เดินทางข้ามโลกเพื่อตามหาความรัก ทั้งที่เขาแทบจะหลงลืมใครอีกคนหนึ่งซึ่งคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลาที่ทุกข์ระทม คนที่รักเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันทำให้ผมครุ่นคิดถึงการกลับบ้าน พลันระลึกถึงรอยยิ้มและอ้อมแขนอันแสนอุ่นของใครบางคน.

พิมพ์ครั้งแรก สานแสงอรุณ ฉบับคืนสู่ความรู้สึกตัว 2551
*
ไหม อเลซซานโดร บาริโก: เขียน, งามพรรณ เวชชาชีวะ: แปล, สำนักพิมพ์สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์: พิมพ์ครั้งแรก: ๒๕๔๐

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๔

เรื่องรักในร้านกาแฟ

ทุกๆ วัน เมื่อแดดร่มลมตก เสียงเด็กๆ เล่นน้ำยังดังก้องสะท้อนอยู่ริมฝั่ง ชาวบ้านซ้อมพายเรือเพื่อเตรียมแข่งในงานเทศกาลปีใหม่เมือง เสียงเฮ ไฮ เฮ ไฮ ฝีพายจ้วงน้ำด้วยจังหวะพร้อมเพรียง

เสียงเจ้ามณีเห่าขรมมาจากชั้นบนตำมิละ เมื่อมองเห็นหญิงสาวพาเจ้ามอมเดินผ่าน อ้ายหล้าเดินลงมารอคอยการอาบน้ำ หน้าร้านกาแฟเช่นเดียวกับหลายวันที่ผ่านมา

เขาเลือกนั่งบนบันไดเดินลงสู่แม่น้ำ รอให้เด็กๆ ขึ้นจากน้ำ รอให้การซ้อมเรือสิ้นสุดลง ฉันเดินเข้าไปทักทาย แกล้งขยับเนื้อขยับตัวอย่างปวดเมื่อย อ้ายหล้าจึงช่วยนวดจับเส้นให้

เราพูดคุยกันหลายเรื่องราว ตอนหนึ่ง เขาเอ่ยเล่าถึงแฟนสาว ที่เขาจะแต่งงานด้วย หล่อนเป็นคนบ้านวัดชัยฯ และเขากำลังเก็บเงินอยู่ เขาทำงานหลายอย่าง เป็นหมอนวดให้คนเฒ่าคนแก่ตามงานศพ ได้คนละยี่สิบ สามสิบบาท รวมกับเงินที่เดินเก็บลังกระดาษ ขวดและกระป๋องเบียร์ เขาว่ามีเงินเก็บหลายอยู่ เขาซ่อนเอาไว้ที่บ้าน

เขาพูดยิ้มตาหยี่อย่างมีความสุข เหมือนพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง The Eight Days เอามือจุ๊ปากให้ฉันเงียบ -อย่าบอกใครนะ- ว่าแล้วเขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบรูปคนรักให้ดู คนรักของเขาสวยทีเดียว มันทำให้ฉันนึกถึงดาราละครคนหนึ่ง ใช่ล่ะ เหมือนจอย ศิริลักษณ์มาก และเป็นหล่อนจริงๆ จอย ศิริลักษณ์ แฟนของพี่หล้าที่กำลังจะแต่งงานด้วย

เขาพลิกหลังรูปให้ดู มีตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือเรียบร้อยว่า “รูปถ่ายใบนี้ ให้พี่คนนี้คนเดียว” ฉันมองดูใบหน้ายิ้มแย้มและเขินอายของเขาอย่างมีความสุข.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๓

เศษเถ้าถ่านในอากาศ

ลมแล้งหอบพัดเอาฝุ่นผงคละคลุ้งในอากาศ ความร้อนแรงกำลังแผดเผาผืนโลก ความชุ่มชื้นระเหิดระเหยหายจนแห้งเหือด ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหมอกหม่นครึ้ม ไร้สีสันของท้องฟ้าแห่งฤดูร้อน ในความเงียบงัน จั๊กจั่นกรีดเสียงวังเวง

เศษเถ้าถ่านสีดำล่องลอยคละคลุ้งในอากาศ ปกคลุมแม่น้ำ ถนน บ้านเรือน และเมืองทั้งเมืองเอาไว้ จนทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ พร้อมจะแตกสลายเพียงแค่สัมผัสต้อง มิแตกต่างจากแม่น้ำ บ้านเมืองและผู้คน พร้อมจะแตกสลายหากถูกทำลาย

ในฤดูแล้งเช่นนี้ ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าปล่อยเศษเถ้าถ่านออกมาไม่จบไม่สิ้น เถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาไหม้และไฟป่า จากทุกหนทุกแห่ง ราวต้องการแผดเผาโลกให้สิ้นสูญ

เช่นเดียวกัน ไฟกำลังแผดเผาหัวใจทุกดวงของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำโขง.

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๒

เสียงจักจั่น

ยามวันอันสดกระจ่างกลางฤดูร้อนขับให้แม่น้ำมีสีแดงปลั่ง สายลมแทบไม่กระดิกไหว สรรพสิ่งนิ่งงันราวกับไร้สิ่งมีชีวิต ในฉับพลัน ความเงียบงันได้ถูกโยกไหวด้วยบทเพลงของจักจั่น

ราวกับรอคอยมาแสนนาน ทันทีที่บทโหมโรงของจักจั่นตัวแรกบรรเลง สายลมแผ่วเบาพัดโชยเข้ามาโยกไหวใบไม้ราววาทยากรผู้ให้สัญญาณ ตัวที่สอง สาม สี่ เริ่มบรรเลงคลอ จากนั้นบทเพลงเริ่มกระหึ่มดังจากทุกทิศทุกทาง จากต้นไม้ทุกต้นในละแวกนี้ เสียงค่อยๆ ดังขึ้นและแผ่วเบา บางครั้งเร่งเร้าและเนิบเนือย บางครั้งเงียบหายและดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ต่างจากวงออเคสตร้าวงใหญ่ของธรรมชาติ

บทเพลงแห่งจักจั่นถูกบรรเลงวันแล้ววันเล่า ท่ามกลางอากาศร้อนในฤดูแห่งการผ่อนพัก ขับกล่อมแม่น้ำและผืนดิน ร่ำร้องหาสายฝนในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง.

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๑

การผลิแตก

ทันทีที่ฝนปรอยสาย ฉันรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังก่อเกิดขึ้นมา แม้มันจะเป็นเพียงแค่สายฝนกลางพายุฤดูร้อน

ฝนตกลงมาเพียงสองสามครั้ง สรรพสิ่งรอบข้างดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไป แม้ใบไม้ยังคงเหลืองแห้งร่วงหล่น แต่พื้นดินที่เคยแห้งผากกลับดูชุ่มชื้น ใต้พื้นดินเริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก เช่นเดียวกับตามกิ่งก้านของต้นไม้ เพียงสองสามวันหลังจากฝนตก ผืนดินเริ่มแลละลานไปด้วยสีเขียวเล็กๆ กิ่งก้านของต้นไม้เริ่มผลิแตกตุ่มใบ บ้างมีสีเขียวใส และบ้างแดงสดราวสีเพลิง ใบอ่อนเล็กๆ มากมายกำลังผลิแตกและเติบโต ต้นอ่อนเล็กๆ มากมายงอกเงยขึ้นจากเมล็ดพันธุ์นิรนาม สิ่งที่เคยเป็นนามธรรม แปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรม มองเห็นและสัมผัสได้

ความมีชีวิตกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ตระเตรียมร่างกายและหัวใจ ไว้ต้อนรับฤดูฝนที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า รอคอยฤดูกาลใหม่ที่จะมาเยือนพร้อมกับความฉ่ำเย็น.

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๖๐

เสียงร้องเรียก

ความเย็นยังไม่จางหายในอากาศ โรงเรียนใกล้จะปิดเทอมแล้ว ทุกๆ วัน เด็กๆ มาลงเล่นน้ำริมฝั่งโขง

สายน้ำยังคงเย็นเยือก ใสและเริ่มตื้นเขิน ไกสีเขียวเล็กๆ ส่ายไหว แม้จะมีไม่มากเช่นปีกลาย เสียงร้องเรียกหัวเราะของเด็กๆ ชักชวนคนอื่นๆ ลงมาร่วมเล่นน้ำ ทั้งเด็กหญิง เด็กชาย และหนุ่มสาว

เณรน้อยสามสี่คนเดินเป็นทิวแถว สบงสีแสดปลิวไสวมาจากท่าเรือ พวกเขาพากันลงมาเล่นน้ำ ด้วยไม่อาจทนต่อเสียงร้องเรียกหัวเราะอันเย้ายวนได้ ในเมื่อเณรน้อยยังเป็นเด็ก ในเมื่อพวกเขาเพียงแต่นึกถึงความสนุกก่อนบวชเรียนเท่านั้น ก่อนเดินจากไปด้วยหัวใจอันชุ่มฉ่ำ

เสียงร้องเรียกหัวเราะยังระริกรื่น เสียงที่อาจชักชวนหัวใจที่ยังเป็นเด็กทุกดวง มารวมกันอยู่ริมฝั่งน้ำ เพื่อรำลึกถึงวัยเยาว์ร่วมกัน.

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๙

เจ้าผีเสื้อ

ในยามวันอันเงียบสงบ แสงแดดเอื้อความอบอุ่น แม้หลายวันมานี้อากาศจะหนาวเย็นลงอีกครั้ง

ฉันนั่งอ่านหนังสือ หากสายตาเพลินมองเจ้าผีเสื้อตัวใหญ่ มันบินวนเวียนไปมา ก่อนลงเกาะลงบนพื้นปูนกลางแดดอุ่น มันยกหัวขึ้นสูง ปลายปีกทั้งสองข้างแนบพื้น เพียงครู่หนึ่ง มันโผบินไปมาและลงเกาะบนพื้นอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้
โดยไม่รู้ตัว เมื่อฉันเริ่มสนใจอ่านหนังสืออีกครั้ง เจ้าผีเสื้อบินมาเกาะบนสันหนังสือที่ฉันกำลังถืออ่านอยู่ มันเกาะนิ่งหันหลังทำไม่รู้ไม่ชี้ ฉันสังเกตเห็นดอกดวงสีม่วงบนปีกสีน้ำตาลเทาของมัน ปลายปีกด้านบนมีจุดกลมสีขาวทั้งสองข้างราวดวงตาเล็กๆ ก่อนที่มันจะโผบินอีกครั้ง

มันยังบินวนเวียนไปมา เกาะตรงโน้นลงจับตรงนี้ และเมื่อฉันเริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง มันบินมาเกาะบนสันหนังสืออีกหน ราวกับมันไม่ต้องการให้ฉันละความสนใจไปจากมัน ฉันลอบสังเกตมันอีกครั้ง มองดูหนวดเล็กๆ ส่วนหัวของมันมีจุดเล็กๆ สีขาวเท่าปลายเข็ม ดวงตากลมโตกลืนหายไปกับสีน้ำตาลเทาของมัน จากนั้นมันจึงขยับปีกบินอีกครั้ง มันบินวนเวียนไปมา อยู่ในยามวันอันเงียบสงบเช่นนี้.

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๘

เพลงยามบ่าย

ประกายแดดบ่ายร้อนแรง เสียงฝีเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะ ผสานกับเสียงเพลงหนักแน่นล่องลอย จากริมฝีปาก จากทรวงอก

ชัยภูมิมีรถยนต์วิ่งผ่าน (ชัยภูมิมีรถยนต์วิ่งผ่าน)
ชาวบ้านทำไร่ไถนา (ชาวบ้านทำไร่ไถนา)
ปลูกปอ ปลูกมัน ถั่ว งา (ปลูกปอ ปลูกมัน ถั่ว งา)
แต่ต้นกัญชาไม่ได้ปลูกมันขึ้นเอง (แต่ต้นกัญชาไม่ได้ปลูกมันขึ้นเอง)

ร้องนำ และร้องตาม ทหารเรือหน่วย นปข. หกเจ็ดคนออกวิ่ง วิ่งนำและวิ่งตาม ริมฝั่งแม่น้ำโขง

ทุกๆ วัน พวกเขา คนหนุ่มผู้ปกป้องแม่น้ำโขง คนหนึ่งวิ่งและร้องนำ เพื่อนๆ ของเขาวิ่งและร้องตาม เสียงฝีเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงเพลงของพวกเขาหนักแน่นล่องลอย จากริมฝีปาก จากทรวงอก และหัวใจ

แต่ต้นกัญชาไม่ได้ปลูกมันขึ้นเอง
แต่ต้นกัญชาไม่ได้ปลูกมันขึ้นเอง…

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๗

ภาคห้า: ฤดูร้อน

ลมฤดูแล้ง
ช่างรวดเร็วเสียจริง ลมแล้งเดินทางมาถึงเร็วเสียจริง เพียงต้นเดือนกุมภาพันธ์ สายลมแล้งโชยผ่านมาเสียแล้ว

ยามบ่ายร้อนอบอ้าว แสงแดดสดกระจ่าง ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินใส ฉันนอนเปล เพลินมองหมู่เมฆสีขาวหม่นๆ มอๆ แห่งฤดูร้อนเคลื่อนผ่านด้วยรูปร่างอันแตกต่าง ด้วยลีลาเริงระบำ

ลมร้อนโชยแผ่วผ่านผิวน้ำ หอบใบไม้หมุนวน ลอยคว้าง และหล่นร่วง เสียงสายลมไล่ระยอดไม้ ส่งเสียงซู่ซ่าเกรียวกราว กระชากใบไม้แห้งหล่นร่วงคว้างลอย ใบไม้หลากสีสัน เหลือง น้ำตาล เทา หล่นร่วง คว้างลอย พลิกพลิ้วเริงร่อนราวระบำผีเสื้อนับร้อยนับพันตัว เริงระบำแล้วร่วงหล่นอย่างงดงาม

สายลมแล้ง
ขว้างปาใบไม้
ผีเสื้อเริงระบำ.

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

คนรักระหว่างบรรทัด ๑

เรื่อง: วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล
ภาพ: นุชารียา

แด่นกเล็กๆ ที่ร้องเพลงอยู่ในหัวใจ

ผมอยากเล่าถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นให้นายฟัง...

กลางดึกคืนหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีใครคนหนึ่งมานั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ครั้นผมเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ ผมเห็นเด็กชายเล็กๆ คนหนึ่งอายุประมาณห้า-หกขวบนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่เงียบๆ ผิวสีขาวเรืองรองอยู่ในแสงสีส้ม ผมสีเงินสุกสกาวราวกับดวงดาวในความมืด ผมรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นความจริงหรือเป็นความฝันกันแน่
“เธอเป็นใคร? ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ได้?” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยดวงตากลมโตสีฟ้า น้ำรื้นนัยน์ตา เขาพูดด้วยภาษาแปลกๆ แต่ผมกลับเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามบอก

“เธอหนีมา เพราะพวกเขาไม่รักเธอหรือ? ทำไมกัน? เพราะเธอเป็นเด็กเลวน่ะหรือ? ฉันว่าเธอซนแค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อยู่ที่นี่พวกเขามาตีเธอไม่ได้หรอก...เงียบเถอะนะ อย่าร้องไห้เลย” ผมพยายามปลอบเขา รั้งตัวเขาเข้ามากอด และเช็ดน้ำตาให้เขา

“เธอทำให้ฉันนึกถึงใครคนหนึ่งรู้ไหม?” ผมบอกกับเขา เขาทำให้ผมนึกถึงเซเซ่ เด็กชายตัวเล็กๆ ผู้อ่อนไหว เขามีผิวขาวต่างจากพี่น้อง ผมสีบรอนด์ และเป็นลูกครึ่งอินเดียนพินาเจ้คนนั้น

เขาเงยหน้าขึ้นมองผม และยิ้ม ราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

“อย่าบอกนะว่าเธอเป็น...” ผมพูดอะไรต่อไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นหนังสือต้นส้มแสนรัก* วางอยู่ข้างๆ ที่นอน ขณะเขามองดูผมและยิ้มทั้งใบหน้าอย่างเจ้าเล่ห์

“ฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้พบเธอ เซเซ่” ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก กอดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม มันคงเหมือนกับเราบังเอิญได้พบใครคนหนึ่งที่อยู่ในใจเรามาเนิ่นนาน

“เป็นยังไงบ้าง? เธอสบายดีใช่ไหม? มิงกินโยเป็นยังไงบ้าง? แล้วโปรตุก้าล่ะ? กลอเรีย และพระเจ้าหลุยส์ด้วย พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง?” ผมมองดูใบหน้าเศร้าๆ ของเขา น้ำตาดูเหมือนจะรื้นไหลอีกครั้ง “นี่พวกเขายังไม่เลิกตีเธออีกหรือ?”

“พวกเขาสัญญาว่าจะตีผมให้น้อยลง แต่ยามที่พวกเขาตีผม โกเดียก็ช่วยผมไม่ได้...” เขาเงียบไปพักหนึ่ง และพูดต่อ “เจ้าชายหลุยส์น่ารักมาก เขาเป็นเด็กดี ส่วนโปรตุก้า เขาตายเสียแล้ว... รถไฟมานการาติบา ไอ้ฆาตกรทรยศ!!” เขาร้องอย่างมีอารมณ์ พลางสะอึกสะอื้น ผมกอดเขาไว้แน่น พลางปลอบโยน

“แล้วมิงกินโย ต้นส้มของเธอล่ะ” ผมกระซิบถาม

“นายไม่รู้หรือว่าเขาโค่นต้นส้มของผมไปเสียแล้ว โธ่...ซูรูรูก้า ไม่น่าเลย” เขารำพึงรำพัน ผมไม่อยากเห็นเขาเศร้าอย่างนี้เลย เขายังเด็กมาก เขาควรที่จะร่าเริงสดใสถึงจะถูก แต่ผมไม่รู้จะปลอบเขาอย่างไร นอกจากกอดเขาไว้ พูดกับเขาอย่างอ่อนโยน และให้ความรักกับเขา


การมาของเซเซ่ในคืนนั้นทำให้ผมนึกถึงเจ้าหนูเล็ก แฝดผู้น้องหลานชายของผม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมอาจทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ขณะเดียวกันเขาก็สอนอะไรให้ผมหลายอย่างในคราวนั้น เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงฤดูหนาวปีนั้น น้ำเหนือถูกปล่อยลงมาจนท่วมท้นไปทั่วทั้งท้องทุ่ง บ้านเราเป็นเหมือนเกาะอยู่กลางทะเล น้ำท่วมปริ่มอยู่ตามถนนหน้าบ้าน วันนั้นแม่ของผมเดินเข้าไปในสวนที่น้ำเริ่มท่วมคันดิน เจ้าหนูเล็กร้องตามไปด้วย ซึ่งตอนนั้นผมกำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน ใจนึกห่วงกังวลว่าเขาจะตกน้ำเพราะตามย่าไป เพราะบางช่วงน้ำลึกมาก ผมจึงเดินไปอุ้มเขาที่กำลังยืนกรีดร้องอยู่ริมน้ำปากทางเข้าสวน พาเขากลับมายังกระท่อม พยายามบอกถึงเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อไม่ให้เขาตามย่าไป แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง ครั้นพูดนานเข้าเขาก็ยังงอแงทำเป็นไม่รู้เรื่อง ผมจึงสุดโมโห จับตัวเขาเขย่าไปมาด้วยความโกรธ หยิบไม้ไผ่ขึ้นมาหวดเต็มแรงจนไม้แตกกระจาย...

เปล่าเลย ผมไม่ได้ตีโดนเขา แต่ผมตีไปที่เก้าอี้ แต่มันก็ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าความโกรธของผมทำให้เขาร้องไห้ ยืนสั่นเทาด้วยความกลัว ไม่กล้ามองหน้าผม และวิ่งหนีกลับเข้าไปในบ้านใหญ่

ตอนเย็นเมื่อแม่กลับเข้ามาแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาบอกกับแม่ผมถึงเรื่องนี้หรือเปล่า แต่เย็นนั้น เขาเดินมาหาผม และยืนนิ่งอยู่หน้าประตูกระท่อม ลังเลว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ ผมจึงเรียกเขาเข้ามา เขาเดินมาหาผมช้าๆ หวาดกลัวและไม่แน่ใจ คงกลัวว่าผมจะดุเขาอีก แล้วเขาก็โผเข้ามากอดผม เรากอดกันแน่น ต่างไม่ได้พูดอะไรกัน ความเงียบ ช่างยาวนานเหลือเกิน

ผมรู้ว่าการโอบกอดของเขาคือสื่อแสดงแทนถ้อยคำขอโทษ และให้อภัยในความเลวร้ายที่ผมกระทำต่อเขา และมันทำให้ผมรับรู้ถึงความอ่อนไหวของหลานชายคนนี้ ยิ่งทำให้ผมนึกถึงเด็กชายเล็กๆ อีกคนหนึ่งที่มีความอ่อนไหวและอ่อนโยนไม่ได้แตกต่างจากเซเซ่ หรือหนูเล็กเลย นั่นคือภาพแห่งวัยเยาว์ของตัวผมเอง ซึ่งความเป็นผู้ใหญ่ในตัวผมเกือบจะทำร้ายเราทั้งสองคน

เซเซ่จากไปเมื่อผมหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดไปยังบทที่ชื่อคำขอร้อง ซึ่งอ่านค้างไว้ก่อนนอนหลับไป ก่อนลาจาก เขายิ้มให้ผม แสร้งทำเป็นร่าเริง เพื่อไม่ให้ผมกังวลไปกับเรื่องราวของเขา

“นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ จะไม่มีใครตีผมได้อีกแล้ว” เขายิ้มและโบกมือให้ผมเหมือนที่พระเจ้าหลุยส์โบกมือให้กับรถไฟ และเดินหายเข้าไปในหนังสือ

นายรู้หรือเปล่าว่าผมรู้สึกเช่นไร ผมไม่อยากเห็นเขาถึงวัยที่มีเหตุผลหรือเติบโตเป็นผู้ใหญ่รวดเร็วเกินไปนัก ผมอยากให้นกเล็กๆ ยังร้องเพลงอยู่ในหัวใจของเขา อยากเห็นเขาเป็นเด็กที่ร่าเริง สดใสและอ่อนโยนอย่างนี้ตลอดไป เพียงแต่ว่านายช่วยเก็บความเศร้าให้พ้นไปจากมือของเด็กๆ หน่อยได้ไหม**


* ต้นส้มแสนรัก โจเซ่ วาสคอนเซลอส: เขียน, มัทนี เกษกมล: แปล, สำนักพิมพ์ดวงกลม, พิมพ์ครั้งแรก: ๒๕๒๒
** ชื่อหนังสือบทกวีของศิริวร แก้วกาญจน์, เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก เข้ารอบรางวัลซีไรต์ปี ๒๕๕๐

หมายเหตุ: พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับชีวิตในโลกเสมือนจริง ๒๕๕๑

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๖

หาดทรายเงียบสงบ

ค่ำคืนสุดท้าย ก่อนเดินทางสู่ประเทศไทย เรืออ้ายสีพาเรามาจอดค้างคืนที่ดอนเถื่อน มองเห็นแสงไฟจากปากแบงหม่นสลัวในม่านหมอก พวกเราพากันขึ้นไปบนหาดทราย บางคนช่วยกันก่อไฟจากเศษไม้ฟืนลอยน้ำ บางคนตระเตรียมอาหารมื้อค่ำ และหลายคนเดินปล่อยอารมณ์

ความมืดมาเยือนอย่างรวดเร็ว พระจันทร์คืนแรมโผล่พ้นจากหลังเขา งามเศร้าเหมือนใบหน้าของคนรักยามจากไกล แสงจันทร์อาบผืนทรายและแผ่นน้ำ มองเห็นเป็นสีน้ำผึ้งพลิกเพื่อมระยับ แสงจันทร์สาดเอื้อไปทุกหนทุกแห่ง ห่มคลุมผืนป่า เทือกเขาและสายน้ำ สาดแสงอ่อนโยนเข้าไปในหัวใจของผู้คน ช่างอบอุ่นอย่างประหลาด

ค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงบเสียจริง แสงจันทร์งดงาม และหัวใจของฉันงามเศร้ามิแตกต่าง.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๕

เชียงแมนแดนฝัน

ยามพลบค่ำ ฉันยืนนิ่งอยู่บนฝั่งหลวงพระบาง มองฝ่าละอองหม่นมัวของความมืดโรยตัวเหนือแม่น้ำ ไปยังดินแดนเบื้องหน้า ดินแดนที่กำลังถูกกลืนหายไปในค่ำคืนเงียบงัน

เชียงแมน นามของเธอถูกขานเรียก เมืองเล็กๆ อันเงียบสงบบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง

ทันทีที่ความมืดโรยตัว พระจันทร์นวลกระจ่างเหนือพระธาตุพูสี ด้วยแสงอันอ่อนโยน อบอุ่น เผื่อแผ่แสงนวลไปสู่ทุกซอกทุกมุมของชีวิต ราวการปลอบประโลม

ฟากฝั่งเชียงแมน ดินแดนที่ฉันฝันถึง สงบงันในโอบล้อมของหมู่ไม้ ห่มคลุมด้วยแสงจันทร์อ่อนโยน ขับกล่อมค่ำคืนให้หลับใหล ฝันดี.

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๔

ค่ำคืนที่ปากแบง

เรามาถึงปากแบงเมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ลับเหลี่ยมเขา เรือเข้าจอดเทียบท่า ผู้คนและสายน้ำ จมอยู่ในความมืด

ปากแบงเป็นเมืองท่าเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง เป็นจุดแวะพักค้างคืนระหว่างห้วยทรายและหลวงพระบาง เมืองแห่งนี้จึงมีนักเดินทางแวะมาพักอยู่เสมอ

ชีวิตของผู้คนที่นี่ ดูเรียบเรื่อย ไม่เร่งร้อนเฉกเช่นสายน้ำ เรียบง่ายและเป็นกันเอง สงบเย็นเช่นค่ำคืนในฤดูหนาว เป็นได้ว่า ผู้คนมีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำ และสายน้ำนี่เอง หล่อหลอมหัวใจของผู้คนให้เย็นเยือก สุขสงบ

ฉันเดินอยู่บนถนน มองดูแสงไฟตามอาคารบ้านเรือน สูดดมกลิ่นหอมของเมือง สดับฟังเสียงลมหายใจอันเงียบสงบ เสียงฝีเท้าของฉันสะท้อนก้องมิต่างเสียงเคาะประตู ฉันเปิดหัวใจออก โอบรับความเงียบสงบที่ผ่านเข้ามาช้าเชือน.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๓

จากเชียงของสู่หลวงพระบาง

ในยามเช้าที่สายลมหนาวแผ่วพลิ้ว อากาศเย็นสดชื่น ฉันตื่นขึ้นมาแต่เช้า เตรียมสัมภาระเดินทางไกล สู่เมืองหลวงพระบาง

ทัศนียภาพสองฝั่งฟากหลากไหลเข้าสู่คลองสายตาไม่หยุดยั้ง เกาะแก่งปรากฏโดดเด่นกลางลำน้ำ หาดทรายทอดยาวขาวเนียน หมู่บ้านริมฝั่งน้ำ ฝูงปศุสัตว์ของชาวบ้านท่ามกลางป่าเขาเขียวครึ้ม คนลาวมีวิถีชีวิตอิงแอบอยู่กับแม่น้ำอย่างแท้จริง ตั้งแต่การอาบ ซักล้างและดื่มกิน การทำเกษตรริมโขง ชาวบ้านทอดแหหาปลาอยู่ตามฝั่ง บ้างลอยเรือใส่แน่ง ตกสอด ไหลมอง อีกทั้งยังพบเห็นเครื่องมือหาปลาอยู่ตามเกาะแก่ง จำพวกเบ็ดค่าว ไซลั่น และมองยัง

หมู่บ้านหลายแห่งยังมีการร่อนทองกันอยู่ ชาวบ้านพากันมาร่อนทองอยู่ริมฝั่งน้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นแม่หญิงและเด็กๆ จึงทำให้มองเห็นว่า มิใช่เพียงสรรพสัตว์เท่านั้นที่ต้องพึ่งพิงสายน้ำ มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกกับถ้อยคำที่ว่า สายน้ำมีชีวิต

สายน้ำยังคงไหลเรียบเรื่อย ไหลไปสู่หลวงพระบาง ไหลไปสู่คอนพะเพ็ง ไหลไปสู่ลุ่มทะเลสาบเขมร ไหลไปสู่ทะเลจีนใต้ของเวียดนาม สายน้ำไหลไปหล่อเลี้ยงชีวิต เรียบง่ายเช่นเดียวกับวิถีชีวิตของผู้คนริมสองฟากฝั่ง เอื้ออาทรต่อทุกมวลชีวิต มิเคยแบ่งแยกแบ่งปัน เช่นเดียวกับดวงตะวันเอื้อแสงอบอุ่นแก่สรรพสิ่งบนโลก แสงจันทร์เอื้อความสงบเย็นแก่สรรพชีวิต หรือมีเพียงหัวใจของธรรมชาติเท่านั้น เอื้ออาทรต่อเราได้ถึงเพียงนี้.

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๒

เรือโดยสาร

แดดสายเปล่งประกายระยับบนผืนน้ำที่หลากไหลไม่เคยหยุด เสียงครางแผ่วต่ำของเรือโดยสารเมืองห้วยทราย – หลวงพระบางแล่นผ่านอย่างเชื่องช้า ผู้โดยสารแน่นขนัด บางคนโบกไม้โบกมือให้ผู้คนริมฝั่งน้ำ บางคนยกกล้องถ่ายรูปขึ้นบังหน้าเพื่อเก็บภาพความงดงาม เพียงชั่วเวลาไม่นาน ฉันเฝ้ามองดูเรือโดยสารแล่นลับหายจากสายตา

ฉันเฝ้ามองเรือโดยสารแล่นผ่านไปทุกวัน เฝ้าจินตนาการถึงโค้งคุ้งน้ำที่มันล่องผ่าน จินตนาการถึงบ้านเรือนและภูมิประเทศที่ฉันไม่เคยเห็น ความงดงามของเกาะแก่งหินผา และผู้คนในสายลมแห่งฤดูหนาว ฉันเฝ้าแต่นึกฝันถึงการได้ไปเยี่ยมเยือนสักครั้งหนึ่ง

สายลมหนาวยังพร่างพรูในเช้าวันนี้ แสงแดดอ่อนโยนและอบอุ่น เรือโดยสารล่องลับหายไปแล้ว หลงเหลือเพียงความคิดฝันและจินตนาการถึงดินแดนแห่งหลวงพระบาง เมืองที่หลายคนปรารถนาไปเยี่ยมเยือนสักครั้งในชีวิต คงเช่นเดียวกับฉัน

ความปรารถนาที่กำลังจะเป็นจริง.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๑

เรือดอกไม้

แม่น้ำโขงวันนี้ดูงดงามกว่าวันอื่นๆ ในความเชี่ยวไหลยังแฝงไว้ด้วยความเงียบสงบ ผ่อนคลาย

แม่น้ำวันนี้คลาคล่ำด้วยเรือล่องทวนเป็นขบวนแถว ผู้คนและสายน้ำ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อคาราวะชื่นชม น้อมใจลงเพื่อขอขมาต่อแม่น้ำ แม่น้ำที่ให้กำเนิดชีวิต แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงเราเรื่อยมา

แม่น้ำโขงวันนี้งดงามด้วยมวลดอกไม้หลากสีสัน ล่องไหลเป็นสายธารดอกไม้สวยงาม หมุนคว้างลงสู่จิตใจของสายน้ำ และหมุนคว้างอยู่ในหัวใจของผู้คน ดอกไม้ แม่น้ำและหัวใจ

แม่น้ำวันนี้เปล่งประกายงดงามกว่าวันอื่นๆ งดงามด้วยหัวใจไหลล่องและหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง ค้อมกายนิ่งงัน คารวะต่อสายน้ำ ไหลลอยธาราดอกไม้ ล่องไหลดั่งสายธาร เป็นเรือดอกไม้ ล่องไหลไปบอกกล่าวถึงความดีงามของผู้คน

แม่น้ำโขงวันนี้ดูงดงามกว่าวันอื่นๆ.

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๕๐

เจ้านกน้อย

ในแสงสะท้อนของยามบ่าย แม่น้ำเปล่งประกายระยิบระยับ สงบงาม ร้านกาแฟนิ่งงันอยู่ในบทเพลงพลิ้วไหว รอคอย
ทุกๆ วัน เจ้านกน้อยสีเทาสองตัว จะบินลงมาเดินเล่นอยู่บนลานหญ้า กระโดดไปมา บินโฉบเฉี่ยว และจิกกินตัวแมลง หากทว่า ในจินตนาการของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอบอกว่า นกมาฟังเพลงของเรา บทเพลงของ Loreena Mckennitt , Norah Jones, Julian Kytasty, Stacey Kent และอีกมากมาย

ฉันเปิดดูรูปในหนังสือนก ฉันพบนกชนิดหนึ่งใกล้เคียงกับเจ้าสีเทามากที่สุด มันเป็นนกกระแตหาด พบได้ในทุกถิ่นของเมืองไทย หัวสีดำ คอขาว ปีกขาวสลับดำ บริเวณทรวงอกมีขนสีดำเป็นรูปหัวใจ

ฉันเฝ้ารอการมาเยือนของเจ้ากระแตหาดทุกวัน ทุกครั้งที่ได้เฝ้ามอง มันทำให้ฉันนึกถึงหญิงสาวคนหนึ่ง เธอเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวนี้ แอบถ่ายรูปของมัน และวิ่งไล่จับมันเหมือนเด็กผู้หญิงวิ่งไล่จับผีเสื้อ ฉันไม่รู้ว่า เธอได้สังเกตเห็นรูปหัวใจสีดำบนทรวงอกของมันหรือไม่ บางทีเธออาจจะบอกความหมายของมันแก่ฉันได้

ทุกวันมันจะบินขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำ รูปร่างของมันไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่มันจะเคียงคู่กันอยู่เสมอ เช่นเดียวกับดวงดาวเคียงคู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน และเช่นเดียวกับวันคืนเก่าๆ มีเธออยู่เคียงข้างฉัน.

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๙

ความรักมาเยือน

และแล้ว สายลมหนาวก็พัดผ่านเข้ามาอีกครั้ง ตามคำสัญญาลึกลับของนกพเนจร เมื่อฤดูกาลแห่งสายฝนพ้นผ่าน สายลมอ่อนหวานโชยพลิ้ว ต้นไม้ ใบหญ้าเริงร่า ผลิแตกดวงดอกสวยงาม สีสันในวันคืนใหม่ๆ กำลังคืบคลานเข้ามา สีสันแห่งดวงดอกไม้ สีสันบนลายปีกผีเสื้อ สีสันแห่งฤดูหนาว และสีสันแห่งความรัก

ยามเช้าอวลอยู่ด้วยละอองหมอกพร่างพราว สีขาว สดใสและฉ่ำเย็น แดดสาดแสงพริบพรายเหนือสายน้ำอวลอุ่น แม้ในค่ำคืนเหน็บหนาว ฉันยังสัมผัสถึงไออุ่นแห่งชีวิต ในแสงจันทร์สวยเศร้าของคืนแรม ในเสียงเพลงพลิ้วไหวของใบไม้ ในกลิ่นอันหอมหวานของดอกไม้ยามราตรี อวลอุ่นด้วยสายลมแห่งรัก

ทุกๆ ปี ฉันได้แต่เฝ้ารอให้ลมหนาวพัดผ่านมา ด้วยฉันรู้ว่า สายลมหนาวจะมาเยือนพร้อมด้วยปีกแห่งการโบยบิน ส่งเสียงพร่ำเพรียกให้เราได้ออกเดินทางค้นหาความหมายแห่งรัก

และยามที่สายลมหนาวพัดผ่านมา ความรักได้คลี่ปีกโอบคลุมร่างกายของฉันอีกครั้ง อวลอุ่นในครุ่นคำนึงถึงใครสักคน

ก่อนที่สายลมหนาวจะพัดผ่านเลยไป.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๘

ภาคสี่: ฤดูหนาว
จากแม่น้ำน้อยถึงริมฝั่งโขง

อาจเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อฉันได้พบเธอ หญิงสาวผู้เดินทางมาจากแม่น้ำน้อย

เธอก็มิได้ต่างจากฉันมากนัก แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน ที่เธอได้ใช้ชีวิตวัยเยาว์อยู่ในหมู่บ้านริมฝั่งน้ำแห่งความทรงจำของฉัน หากทว่า เธอกลับจดจำเรื่องราวในครั้งเก่าก่อน และเปิดเผยให้ฉันได้มีส่วนร่วมรับรู้ การมาเยือนของเธอ ได้นำฉันกลับไปสู่สายน้ำแห่งอดีตอีกครั้ง

ในร้านกาแฟเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง เรานั่งอยู่ด้วยกันในค่ำคืนแห่งแสงจันทร์ สนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวในช่วงเวลาที่เราถอยห่างออกมาจากแม่น้ำน้อย เธอยังติดตามพ่อซึ่งเป็นตำรวจไปประจำตามที่ต่างๆ เธอค่อยๆ ห่างไกลออกจากแม่น้ำสายนั้นทุกขณะ คงเช่นเดียวกับฉัน ชีวิตนำพาเราไปสู่หนทางอันแตกต่าง เพื่อที่จะนำเรากลับมาอีกครั้ง นำเราย้อนกลับคืนสู่ความทรงจำอันสวยงาม

เช่นเดียวกับฉัน เธอเคยกลับไปเยือนสายน้ำแห่งนั้น แล้วพบว่า หลายสิ่งหลายอย่างแปรเปลี่ยนไป เหมือนที่ฉันไม่พบเห็นร่องรอยการเดินเรือในอดีต เมื่อถนนหนทางกลายเป็นเส้นทางสัญจรสู่เมืองใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังสูญหายไป หลงค้างเพียงความทรงจำ

เธอมีความฝัน อยากกลับไปยังริมฝั่งแม่น้ำ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในวิถีที่เธอเลือก ในขณะที่ความฝันของฉัน คือการได้ไปเยือนแม่น้ำสายต่างๆ และเลือกฝังชีวิตไว้ในอ้อมกอดของสายน้ำอันเงียบสงบ.

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๗

ปลายฝนต้นหนาว

ท้องฟ้ายามเย็นหม่นมัวด้วยหมู่เมฆ ความชื้นหนาแน่นขับให้สายฝนพร่างพรมในค่ำคืน คล้ายดั่งอาลัยอาวรณ์ มิปรารถนาเอ่ยคำอำลา

ยามเช้า สายลมหนาวพัดโชยเข้ามาแผ่วเบา แสงแดดทำให้แม่น้ำเปล่งประกายงดงาม หมอกล่องสายเหนือยอดไม้ ขาวนวลและเยือกเย็น คล้ายความถวิลหา ปรารถนาการพบเจอ


ยามวันอวลอ้าวด้วยแสงแดดแผดร้อน ปล่อยให้ยามเย็นเต็มไปด้วยหมู่เมฆเหนือน่านฟ้า ค่ำคืนยะเยือกด้วยสายลมชื้นโชย ความเย็นเยือกของสายลมแห่งฤดูฝน หรือความเย็นเยือกของสายลมแห่งฤดูหนาว
หรือว่า สัญญาณแห่งฤดูกาลใหม่ กำลังมาเยี่ยมเยือน.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๖

ลานปูนและสนามหญ้า

เมื่อสายลมหนาวได้หวนกลับมาอีกครั้ง ฉันยืนอยู่หน้าร้านกาแฟเล็กๆ ริมฝั่งโขง มองดูคราบความอับชื้นของฤดูฝนจับอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ในร้าน ห้าเดือนทีเดียวที่ฉันปิดร้าน และเข้าไปใช้ชีวิตเงียบๆ ในสวน แต่เมื่อลมหนาวเริ่มพัดผ่าน มันจึงนำฉันกลับมาอีกครั้ง

หลังจากเก็บกวาดทำความสะอาด ฉันมองดูรอบบริเวณร้านกาแฟ บางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ฉันไม่อยู่ ครึ่งหนึ่งบนถนนริมฝั่งน้ำ ปูด้วยอิฐปูนสีแดง เหลือง และสีหินศิลาแรง มีสนามหญ้าเล็กๆ ปลูกต้นตะแบก อินทนิล และปลูกถั่วดอกเหลืองไว้คลุมดิน ต้นไม้และดอกไม้จึงทำให้ถนนริมฝั่งน้ำสวยงามขึ้น ชักชวนชาวเมืองลงมาวิ่งออกกำลังกายทุกๆ เย็น

ลานปูนและสนามหญ้าหน้าร้าน เพิ่มสีสันความงามให้แก่ทัศนียภาพริมฝั่งโขง ในยามดอกเสี้ยวหล่นรายในสายลม ลานปูนยิ่งขับให้กลีบบอบบางของดอกเสี้ยวเด่นชัดในความรู้สึกของฉัน และอาจเด่นชัดในความรู้สึกของใครอีกหลายคน

หากทว่า เมื่อค่ำคืนมาเยือน ถนนริมฝั่งน้ำยังคงมืดและเงียบเหงาดุจเดิม.

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๕

วันเศร้า

เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ที่ฉันลงมือขุดหลุมเล็กๆ ใต้ต้นมะม่วงในสวนด้านหน้าของเรือนไม้โบราณ เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววใดจะฟื้นคืนชีวิตของเจ้าลายหินกลับมาได้ มันสะดุ้งเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนแน่นิ่ง ร่างกายอ่อนปวกเปียก ดวงตาไร้แววดูคล้ายดั่งลูกแก้ว ไม่เหมือนดวงตาที่ฉันเคยเห็น มันตายเสียแล้ว

ลายหินเป็นลูกของสามสี่ ลูกแมวตัวหนึ่งในบรรดาสามตัวที่มาอยู่เรือนไม้แห่งนี้พร้อมฉัน ลายหินเป็นแมวหงอยเหงา ซึมเซาและขลาดกลัวอยู่เสมอ แต่หลายครั้งฉันพบเห็นมันเริงเล่นกับพี่น้องของมันอย่างนึกสนุก เช่นเดียวกับเมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้ มันยังวิ่งเล่นอยู่ที่กองทราย แม้มันจะดูหงอยไปบ้างตอนที่ฉันคลุกข้าวกับปลากระป๋องให้มัน มันจึงมากินข้าวเป็นตัวสุดท้ายในห้องครัว และนั่นเองที่เป็นเหตุทำให้มันต้องตาย

ขณะฉันนั่งคิดอะไรเพลินอยู่นั้น เสียงหมาวิ่งไล่กันอยู่ใต้ถุน ฉันร้องตวาดและรีบลงไปดู เห็นหมาสี่ตัวกำลังรุมกัดเจ้าลายหิน พวกมันวิ่งหนีก้อนหินและหันกลับมาเห่า ฉันรีบมาดูเจ้าลายหิน ร่างของมันสั่นระริก เสียงลมหายใจหนักหน่วง ฉันรีบอุ้มมันขึ้นมาบนบ้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี มองดูมันดิ้นชักกระตุกจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย

ฉันกลบฝังร่างกายอันอ่อนนุ่มของมันอย่างช้าๆ นึกเห็นภาพตอนเย็นที่มันเริงเล่นอยู่บนกองทราย ภาพนั้นช่างร่าเริงแปลกต่างจากลักษณะนิสัยเงียบๆ ของมัน ภาพการวิ่งเล่นของมันทำให้ฉันอดรู้สึกที่จะเศร้ามิได้ เพราะฉันจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพนั้นอีกแล้ว.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๔

ตั๊กแตนสีเขียว

หลายวันมาแล้ว ฉันไม่พบเห็นเธอ ตั๊กแตนสีเขียว

ทั้งที่เธอเคยมาเยี่ยมเยือนฉันเกือบทุกวัน ขณะที่ฉันกำลังเขียนหนังสือ หรืออ่านหนังสืออยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ทั้งที่เธอเคยมาเยี่ยมเยือนฉันแทบทุกวัน แต่วันนี้ไม่มีเธอ

ฉันได้แต่มองดูปกสมุดบันทึกที่เธอเคยเกาะ บนเครื่องพิมพ์ดีด หรือปลายพู่กัน เธอชอบเกาะนิ่งอยู่เช่นนั้น กลอกตาไปมามองดูฉัน เธอค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เธอไม่ยอมหนีเมื่อฉันเอื้อมมือออกไปสัมผัสปีกอันแข็งแรงของเธอ เธอไม่ได้หวาดกลัวฉันเลย เธอเอาแต่จ้องมองฉัน ราวกับระลึกได้ว่า เธอเคยมองฉันเช่นนี้เมื่อชาติปางก่อน

ฉันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงเอาแต่เฝ้ามองฉัน ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรเชื่อมโยงระหว่างเรา หากทว่าวันนี้ ฉันไม่พบเห็นเธอ หากทว่าหลายวันมานี้ ฉันไม่พบเห็นเธอ หรือเธอลืมฉันเสียแล้ว.

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๓

แห่เทียนพรรษา

วันนี้ชาวบ้านมาทำบุญทำทานที่วัดแต่เช้า อุทิศตนอยู่ในศีลในธรรม เพื่อให้จิตใจบริสุทธิ์ ในเช้าวันแรกของวันเข้าพรรษา

ในประกายแดดบ่ายของวันวาน ชาวบ้านมารวมตัวกันตกแต่งประดับประดาเทียนประจำหมู่บ้านของตน เพื่อร่วมขบวนแห่เทียนเข้าพรรษา พร้อมรูปขบวนอันสวยงามตระการตา เสียงดนตรีพื้นบ้านประโคมแห่ เคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่ง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่งกายแบบชาวล้านนา แสดงให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม นำขบวนโดยหญิงงามแต่งกายแบบเจ้านางโบราณ ตามประวัตศาสตร์อันรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา – ล้านช้าง และความสัมพันธ์ของกลุ่มคนไทในนามห้าเชียง แบ่งแยกเป็น เชียงราย เชียงใหม่ เชียงทอง เชียงรุ่ง เชียงตุง

เช้าวันนี้จึงเงียบสงบ หลังผ่านความสนุกสนานร่าเริงของวันวาน ชีวิตกลับเข้าสู่ความสงบเรียบง่ายอีกครั้ง เฉกเช่นชีวิตของผู้คนที่นี่

ความมืดเคลื่อนผ่านเข้ามาเยือน แสงเทียนถูกจุดประดับประดาอยู่บนรั้วกำแพงของบ้านเรือนแต่ละหลังค่ำคืนเงียบสงบ คล้ายกำลังหลับไหล.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๒

ตะวันตกดิน

ดวงตะวันโผล่พ้นจากขอบฟ้า เคลื่อนผ่านยามวันเพื่อลับหาย ณ ขอบฟ้ายามเย็น

วันนี้มิแตกต่างจากวันวาน ชีวิตเริ่มต้นใหม่ตรงขอบฟ้าเรื่อแดง ขณะดวงตะวันเผยความอบอุ่นแก่พื้นโลก ขับไล่ความมืดพ้นหาย ชีวิตเชื่อมโยงผูกพันกับการก่อกำเนิดของวันใหม่

วันนี้มิแตกต่างจากวันวาน แม่น้ำโขงยังขุ่นแดง หลากไหล แม้ปริมาณน้ำฝนทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น หากมนุษย์และสัตว์ยังเชื่อมร้อยผูกพันชีวิตไว้กับแม่น้ำ

วันนี้มิแตกต่างจากวันวาน ยามเย็นมาเยือนอย่างช้าเชือน ความมืดโรยตัวแผ่วเบา ค่ำคืนมาเยือนโดยไม่รู้ตัว ฉันได้แต่เหม่อมองท้องฟ้า ฉันได้แต่เหม่อมองเหนือยอดเขา ดวงตะวันลับหายตั้งแต่เมื่อใด

เพียงสัมผัสได้แต่มิอาจแลเห็น ค่ำคืนมาเยือนแล้ว เมืองแห่งนี้ไม่มีขอบฟ้ายามเย็น เมืองแห่งนี้ไม่มีดวงตะวันตกดิน.

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๑

รอยยิ้ม

ในวันที่ฉันได้พลัดหลงเข้าไปเป็นกลาสีของเรือนาวาลูกหลวง ฉันได้พบรอยยิ้มของสาวชาวพม่า
ฉันเดินทางมากับคณะสำรวจของหน่วยปราบปรามยาเสพติด องค์การความร่วมมือของ ๔ ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน พม่า ลาว โดยมีประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมสังเกตการณ์ ออกเดินทางจากท่าเรือเชียงแสน ล่องผ่านมาจอดที่บ้านโป่งริมฝั่งพม่า

ฉันขึ้นไปเดินเที่ยวในหมู่บ้านร่วมกับคณะสำรวจ เราเดินไปตามทางดินชื้นแฉะด้วยฝนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ผ่านห้องแถวเล็กๆ สามสี่ห้องเปิดเป็นร้านขายของ ร้านตัดผมและที่อยู่อาศัย ด้านหน้ามีเรือนน้ำจากโอ่งน้ำใจสองใบ ทำให้ฉันนึกถึงหมู่บ้านในชนบททางเหนือของไทย มักมีโอ่งน้ำตั้งอยู่หน้าบ้าน

บ้านเรือนของผู้คนตั้งอยู่ห่างกัน มีสถานีตำรวจและเรือนพักทหาร ร้านหนังสือเช่า ทุกสายตาที่เฝ้ามองมีแววฉงนฉงายและรอยยิ้มเขินอาย รอยยิ้มเช่นนี้เองที่ฉันมักพบเสมอยามเข้าไปในหมู่บ้าน รอยยิ้มของคนแปลกหน้า ทว่ากลับเต็มไปด้วยไมตรีอันอบอุ่น

เช่นเดียวกับรอยยิ้มของเธอ หญิงสาวชาวพม่า เธอนั่งอยู่ในร้านค้า เฝ้ามองและยิ้มเอียงอาย รอยยิ้มสดใสของวัยสาว เป็นรอยยิ้มอันใสซื่อจริงใจ

เฉกเช่นดอกไม้แย้มบาน.

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๐

เพลงศพ


ช่างง่ายดายเสียจริง ชีวิตคนเราหล่นร่วงดั่งใบไม้แห้ง ฉากการจากลาแห่งธรรมชาติ

ความตายได้พรากเอาชีวิตของบุคคลที่รักไปอีกครั้งหนึ่ง ละสังขารอันเปื่อยเน่าผุพังลงตามกาลเวลาไว้ในเชิงตะกอน ลอยล่องสู่แห่งหนไม่คุ้นเคยยังอีกภพหนึ่ง เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยอาลัยแห่งความดีงามในหัวใจทรงจำของลูกหลาน

หรือชีวิตมีเพียงแค่นี้…
ขบวนแห่ศพของชีวิต

ครั้นสิ้นเสียงดนตรี ท้องฟ้าหม่นสลัวสลับแดด สายลมพลิ้วผ่านใบไม้ร่มรื่น เชิงตะกอนนอนเงียบรอคอย ร่างไร้วิญญาณของพ่อเฒ่าในโลงศพที่ประดับประดาด้วยปราสาทและพวงหรีดดอกไม้ สรรพสิ่งราวสงบนิ่งรอคอยอยู่ชั่วขณะ อาลัยอาวรณ์…

ก่อนเคลื่อนไหวอีกครั้งพร้อมประกายเพลิงอันร้อนแรง

ช่างง่ายดายเสียงจริง ชีวิตคนเราหล่นร่วงดุจใบไม้แห้งแห่งฤดูกาล

สรรพชีวิตต่างเคลื่อนไหวไปตามบทเพลงแห่งธรรมชาติ แปรเปลี่ยนอยู่เนืองนิจ เมื่อธรรมชาติได้ให้กำเนิดชีวิตในวันหนึ่ง ธรรมชาติจึงพรากเอาชีวิตกลับคืนไป เฉกเช่นเดียวกับการถือกำเนิดของตุ่มใบเขียวสดใสบนกิ่งไม้ผลิแตกเป็นใบไม้งดงาม เพื่อเหี่ยวแห้งรอการร่วงโรยในวันหนึ่ง

เช่นเดียวกับวันนี้ เมื่อสายลมพลิ้วแผ่วมาเยือน ใบไม้แห้งจึงปลิดขั้วจากกิ่งก้าน ลอยคว้างสู่ผืนแผ่นดิน

ฉากการจากลาอันแสนธรรมดาจึงจบลง.

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๙

ดวงแข นามของเธอแปลว่าพระจันทร์

เพียงเวลาไม่นาน ฉันได้พบเธอ หญิงสาวจากเมืองลาว

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ฉันได้พบเธอ เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ บทสนทนาสั้นๆ รอยยิ้มและแววตาจ้องมองเพียงชั่วขณะ กลับยาวนานในความรู้สึกของฉัน แม้ว่าฉันไม่ได้เฝ้ามองเธอด้วยดวงตาทั้งหมดของฉัน แต่ฉันเฝ้ามองเธอด้วยความรู้สึกทั้งมวลของฉัน

จากเวียงจันทร์ เธอเดินทางขึ้นมายังเชียงของ เมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อทำสารคดีเกี่ยวกับแม่น้ำโขงตั้งแต่มณฑลยูนนานของจีนจนถึงปากแม่น้ำในเวียดนาม เพื่อเชื่อมร้อยผูกพันเรื่องราวแห่งวิถีวัฒนธรรมและชีวิตของผู้คนแห่งลุ่มน้ำโขง

เราพูดคุยกันในเรื่องราวของดนตรี วรรณกรรม งานเขียนของป้าดวงเดือน บุนยาวง ผู้เป็นแม่ของเธอ จนถึงวัฒนธรรมการอ่านของทั้งสองประเทศ

เธอบอกว่า งานวรรณกรรมต่างประเทศที่แปลเป็นภาษาลาวยังมีไม่มากนัก เจ้าชายน้อยของ แซงเต็กซูเปรี เพิ่งได้แปลเป็นภาษาลาวเมื่อไม่นานมานี้เอง ส่วนสำนักพิมพ์ดอกเกตุของเธอ มีงานรวมเรื่องสั้นเล่มใหม่ของแม่เธอคือ “จดหมายนี้ส่งถึงอ้าย” และมีงานแปลของมิคาฮิล โซโลคอฟ เล่มหนึ่งที่รอการตีพิมพ์อยู่

เธอเล่าถึงโครงการเก็บกู้ระเบิดในเขตเมืองเชียงขวาง ซึ่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาทิ้งระเบิดในช่วงสงคราม เวียดนาม ถึงในวันนี้ ยังมีระเบิดอยู่อีกนับแสนลูกที่รอการเก็บกู้ โดยไม่มีหน่วยงานต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของเงินทุน รวมทั้งสหรัฐเองที่ไม่กล้าเข้ามารับผิดชอบและให้ความช่วยเหลือ เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทิ้งระเบิดเหล่านี้ ทำราวกับการอยู่เงียบเช่นนี้ จะทำให้คนอื่นลืมความผิดของตัวเอง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อเมริกายังคงทิ้งระเบิดและทำร้ายผู้คนไปทั่วโลก พวกเขาจะทำร้ายผู้คนที่บริสุทธิ์และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปอีกนานเท่าไหร่กัน

เราพูดคุยถึงเรื่องการเมืองและความขัดแย้ง เธอเล่าถึงบางกลุ่มชาติพันธุ์ที่ออกมาปล้นฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามเส้นทางโดยสาร เรื่องการศึกษา ความทุกข์ยากของผู้คน ทุกเรื่องราวมีส่วนเชื่อมโยงถึงกัน ทำให้ฉันมองเห็นคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งไม่ได้มีอะไรเป็นเครื่องประกันความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิต สุขภาพและสวัสดิการสังคม ทั้งหมดเป็นดั่งบทเพลงเศร้าที่บรรเลงต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น

หากทว่าในบางท่อนของเพลงเศร้า เธอทำให้ฉันมองเห็นความสดใสร่าเริง เสียงหัวเราะและความหวังของ ผู้คน ในบทสนทนาของเรา น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลน่าฟัง ถ้อยคำเรียบง่าย รอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกายสดใสของเธอทำให้ฉันไม่อาจละสายตา

ดวงแข เธอบอก ชื่อของเธอมาจากภาษาเขมร แปลว่าดวงจันทร์ เธอเอ่ยถามชื่อของฉัน ชื่อของฉันแปลว่า สายฝนอันเงียบงัน ส่วนนามสกุลแปลว่า พระจันทร์เต็มดวง
เธอบอกว่า ชื่อของเรามาจากฟากฟ้าเช่นเดียวกัน.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๘

ฤดูแห่งสายฝน

หลายวันมานี้ ฝนตกลงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน ยามวันแทบไม่พบเห็นแสงแดด ค่ำคืนจึงเย็นยะเยือก

บรรยากาศครึ้มหม่นมัวตลอดทั้งวันคืน สายฝนโปรยลงมาเป็นช่วงๆ เสียงของแมลงดังมิได้ขาด เสียงเรือหางยาวแผดก้อง เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังมาจากอีกฟากฝั่งของลำน้ำ เสียงรถยนต์วิ่งผ่านถนน เสียงทุกเสียงดังขึ้นและเงียบหายไป

ฤดูฝนเริ่มต้นขึ้น ภายหลังฤดูร้อนเคลื่อนผ่านไป บนรอยต่ออันแปลกประหลาด จนเราแทบไม่สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง ฉันไม่รู้ว่าพายุฤดูร้อนสิ้นสุดลงตอนไหน และฤดูฝนเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด เพราะสายฝนเริ่มตกลงมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน และตกอยู่ตลอดทั้งเดือน สายฝนแห่งฤดูร้อน

ฤดูฝนเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่กันนะ หรือในค่ำคืนหนึ่งก่อนที่ฉันจะเข้ามาอยู่ในบ้านสวนแห่งนี้ ครั้งนั้นฝนตกลงมาสามวันติดต่อกัน ตกอย่างยาวนานจนฉันได้กลิ่นอายของฤดูฝน และกลิ่นอายดินอันชุ่มชื่น

ต้นไม้เริ่มผลิแตกใบใหม่ พืชใต้พื้นดินผุดขึ้นมาสู่อากาศบริสุทธิ์เบื้องบน ชีวิตดูจะเริ่มต้นอีกครั้ง ชาวนาต่างเร่งรีบไถหว่าน ข้าวและข้าวโพด ชาวประมงล่องเรือไหลมอง เพราะน้ำใหม่ชักชวนให้ปลาเดินทางไกลอีกหน ทุกคนทำงานอยู่กลางสายฝน ทุกใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใส ในสีเขียวแห่งฤดูฝน.

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๗

แว่วเสียงระฆัง

ความหนาวเยือกแห่งค่ำคืนปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา นอกหน้าต่างยังมืดมิด เสียงแมลงกรีดระงมมาจากในสวน เบื้องหลังสรรพเสียงมีเพียงความเงียบงัน

ฉันไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมากลางดึก ปรารถนาให้ยามรุ่งสางมาเยือนอย่างรวดเร็ว ฉันนอนฟังสรรพเสียงต่างๆ อยู่ในความมืด เสียงหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล เป็นเสียงทุ้ม แผ่วเบาเป็นจังหวะ ฉันพยายามฟังและคิดว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่ คงไม่มีสัตว์ชนิดใดเปล่งเสียงออกมาเป็นจังหวะดนตรีได้เช่นนี้ เสียงนั้นดังอยู่ห่างไกล ไกลเสียจนฉันจินตนาการไม่ถูกว่าเสียงนั้นดังมาจากที่แห่งใด

แล้วก็มีเสียงระฆังกังวานขึ้นมาจากอีกทิศทางหนึ่ง มันคงดังมาจากอารามสงฆ์บนภูเขาทางฟากตะวันออกของแม่น้ำ ดังขึ้นเป็นจังหวะเนิบเนือยและเร่งเร้าระรัว ตามมาด้วยเสียงทุ้ม แผ่วเบาเป็นจังหวะในทิศทางเดียวกัน มีเสียงระฆังดังขึ้นอีกทิศทางหนึ่ง ดังเป็นจังหวะเนิบเนือยและระรัวเร่ง ตามมาด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบาเป็นจังหวะของเสียงแรก เสียงระฆังและเสียงกลองค่อยๆ ดังขึ้นจากทิศทางต่างๆ ดังแว่วมาจากที่ห่างไกลออกไปอีกฟากฝั่งของแม่น้ำ

เสียงไก่ป่าขันแว่วดังแทรกอยู่ในเสียงกลองและกังวานแห่งระฆัง เบื้องนอกมองไม่เห็นอะไร แต่ฉันรู้ว่า ฟ้าใกล้จะสางแล้ว อีกไม่นาน ดวงตะวันจะฉายแสง.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๖

ชาง ฟี มิง

ชาง ฟี มิง จิตรกรสีน้ำจากมาเลเซีย เป็นผู้หนึ่งที่ได้เดินทางเพื่อสัมผัสภาพความประทับใจอันแสนงดงามของผู้คนตลอดลุ่มลำน้ำโขง ตั้งแต่บนแผ่นดินที่ราบสูงแห่งธิเบต ในประเทศจีน จนถึงปากแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนาม เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ตลอดริมสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง

ฉันไปดูงานเขียนสีน้ำของเขาในวันสุดท้าย ที่หอศิลป์ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อชื่นชมภาพความงามอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับแม่น้ำโขง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นแง่มุมของปัจเจกภาพที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน ด้วยเส้นสายลวดลายของสีน้ำและภาพสเก็ต จัดแบ่งตามหัวข้อที่บ่งบอกถึงเรื่องราวของสายน้ำ ตลาด สภาวะแวดล้อม พิธีกรรมทางศาสนา และวิถีชีวิตของผู้คนอันหลากหลายได้อย่างงดงาม

หลายภาพได้สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่มีชีวิตอยู่กับแม่น้ำโขงอย่างแท้จริง และอีกหลายภาพบ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียนที่มีต่อภาพเหตุการณ์อันน่าประทับใจ บางภาพบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับแม่น้ำและวิถีชีวิตของผู้คน บางภาพแสดงถึงความงดงามของวัฒนธรรมประเพณี

ภาพทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งในเรื่องราวของผู้คนแห่งลุ่มน้ำนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอคอยให้ผู้คนได้หยิบยกขึ้นมาเล่าขานบอกต่อ ยังมีผู้คนมากมายปรารถนาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่ทว่าพวกเขามีเพียงเสียงแห่งความเงียบงัน จะมีใครบ้างหนอ หาญกล้าอาสาเช่นเดียวกับ ชาง ฟี มิง.