วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คนรักระหว่างบรรทัด 2

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล: เรื่อง
นุชารียา: ภาพ

เส้นทางสายไหม*


“คุณเชื่อหรือไม่ ความรักทำให้มนุษย์เราเดินทางข้ามโลกได้” เขาเอ่ยขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ขณะข้ามแดนตรงด่านห้วยทราย เมืองเชียงของทอดสงบอยู่เบื้องหน้า แม่น้ำโขงพริบพรายในแสงแดดสุดท้ายก่อนเร้นหายหลังเทือกภูอันหนาวเย็น เรานั่งเรือโดยสารมาจากหลวงพระบางด้วยกัน และกำลังจะข้ามกลับไปยังฝั่งไทย ผมจะพักอยู่ที่เชียงของอีกสองสามวัน เพราะที่บ้านคงไม่มีใครรอคอยการกลับมาของผม ส่วนเขาจะนั่งรถเข้าเชียงรายเพื่อขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพฯ และเดินทางกลับบ้านที่ฝรั่งเศส ผมไม่รู้ว่ามีใครรอคอยเขาอยู่ที่นั่น
ผมมองดูเขา ยิ้มเหมือนไม่เชื่อ

“คุณเคยได้ยินเรื่องราวของเส้นทางสายไหมบ้างหรือเปล่า” เหมือนคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เขาพูดต่อ “ผมรู้จักชายคนหนึ่ง เคยเดินตามเส้นทางสายนี้มายังประเทศญี่ปุ่น เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอบอกเขาว่า ‘จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย’”

“แล้วเขาก็เชื่อเธอ?” ผมเห็นเขาพยักหน้าอย่างเศร้าๆ และยิ้ม

เมื่อประมาณปีค.ศ. ๑๘๖๑ โฟลแบรฺกำลังจะจบนวนิยายเรื่อง ซาลองโบ แสงสว่างจากไฟฟ้ายังเป็นเพียงทฤษฎีและอีกฟากฝั่งของมหาสมุทร อับราฮัม ลินคอล์นกำลังเริ่มต้นสงครามที่ยังไม่เห็นจุดจบ เขาใช้เวลาสามเดือนเพื่อเดินทางจากลาวิลดิเยอ ข้ามพรมแดนใกล้เมืองเมตซฺ ผ่านแคว้นวูเต็มแบร์กและบาวาเรีย เข้าสู่ออสเตรีย นั่งรถไฟไปเวียนนาและบูดาเปสต์จนถึงเมืองเคียฟ เขาขี่ม้าผ่านทุ่งหญ้าสเตปป์ในรัสเซีย ไต่เทือกเขายูราล ถึงไซบีเรีย และเดินทางต่อจนถึงทะเลสาบไบคาล จากนั้นจึงล่องตามแม่น้ำอามัวร์เลียบชายฝั่งจีนจนถึงมหาสมุทร หยุดรอเรือพ่อค้าของเถื่อนชาวดัชท์ที่ท่าเรือเมืองซาเบิร์กเพื่อต่อไปยังแหลมเทรายะของญี่ปุ่น เดินเท้าจากเมืองอิชิงาวะจนถึงเมืองชิระงาวะ แล้วหันสู่ทิศตะวันออกรอชายชุดดำมาพาเขาไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อซื้อไข่ไหม และเดินทางกลับโดยย้อนตามเส้นทางเดิมอีกสามเดือนเพื่อกลับมายังลาวิลดิเยอในอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงคนนั้น” ผมยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามเอ่ยเล่า

“เขาพบเธอที่หมู่บ้านแห่งนั้น เธอผู้มีใบหน้าของเด็กสาวอยู่ในชุดผ้าไหมสีสด ผิวขาว ไม่ได้มีหนังตาชั้นเดียวแบบชาวตะวันออก และดวงตานั้น จ้องมองดูเขานิ่งงัน...”

“นั่นทำให้เขาสนใจเธอ” ผมเอ่ยถาม

เขามิได้ตอบในทันที เราข้ามเรือด้วยกันอย่างเงียบๆ แม่น้ำโขงดูนิ่งงันหากทว่าเรื่อยไหล เมื่อเรือเข้าเทียบฝั่ง เขาก้าวขึ้นจากเรือ เดินช้าๆ เพื่อรอผม ครั้นผมตามมาทัน เขาจึงหันมาพูด

“มันทำให้เขาไม่ลังเลที่จะออกเดินทางอีกครั้งเมื่อถึงต้นเดือนตุลาคม ครั้งที่สองนี้ เขาได้รับกระดาษชิ้นเล็กนิด ตัวหนังสือสองสามตัวเรียงกันในแนวตั้ง เขียนด้วยหมึกดำ”

“มันเขียนไว้ว่า จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย” ผมคาดเดา

เขายิ้มและพยักหน้าน้อยนิด

“เขาจึงออกเดินทางอีกครั้ง แม้สถานการณ์ญี่ปุ่นในตอนนั้นเริ่มส่อให้เห็นถึงภาวะของสงครามกลางเมือง และเมื่อเขามาถึงหมู่บ้าน พลันนั้น ท้องฟ้าเหนือบ้านเรือนปรากฏฝูงนกนับร้อยตัว ปีกหลากสีระเบิดออกราวกับพลุและเมฆสารพัดสีคลี่กระจายออก เป็นฝูงนกจากกรงขนาดใหญ่ของฮาระ เคอิ เขารู้ว่ามันคือสัญญาณ”

“จากเธอคนนั้น” ผมเห็นรอยยิ้มของเขา

“เขาพบเธอยืนอยู่หน้ากรงนกที่เปิดกว้าง ทุกส่วนบนใบหน้าของเด็กสาวแย้มยิ้ม”

“แล้วนกพวกนั้นล่ะ”

“แล้วพวกมันจะกลับมา มันยากเสมอที่จะห้ามใจไม่ให้กลับมามิใช่รึ ฮาระ เคอิพูดเช่นนั้น… ครั้นรุ่งเช้าเขาแลกเปลี่ยนไข่ไหมสีงาช้างกับเกล็ดทองคำ ทว่าฮาระ เคอิกับผู้ติดตามออกเดินทางไปแล้ว ขากลับ ขณะขี่ม้าผ่านป่าห่างไกลจากหมู่บ้าน เขาพบนกนับพันหลบพักอยู่ในพุ่มไม้ จึงหยิบปืนยิงขึ้นฟ้าหกนัด ฝูงนกตกตื่นบินสู่ฟ้าราวกับควันที่กระจายออกจากกองเพลิง

“ปีรุ่งขึ้น เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาเลือกเดินทางอีกครั้งท่ามกลางเสียงคัดค้านของเจ้าของโรงปั่นไหม ด้วยเกิดสงครามของพวกกบฎในญี่ปุ่น หมู่บ้านของฮาระ เคอิถูกเผาราบ เบื้องหน้าของเขามองเห็นแต่ความว่างเปล่า ราวกับมันคือสุดขอบโลก”

ผมนิ่งเงียบ รอให้เขาเล่าต่อ

“เขาพบเห็นความเลวร้ายของสงคราม เด็กชายที่พาเขาติดตามขบวนของฮาระ เคอิถูกลงโทษถึงตายเพราะนำสารรักกลับมาให้นายหญิงของตน ครั้งนั้นเขาได้ไข่จากเจ้าหน้าที่รัฐด้วยการติดสินบน แต่การเดินทางของเขาล่าช้าเกินไป อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตัวอ่อนนับล้านพลันตายสิ้น

“เมื่อกลับมาถึง เขาใช้สมบัติทั้งหมดที่มีช่วยเหลือคนงานในเมืองด้วยการจ้างชายหญิงให้ช่วยสร้างสวนป่า ปลูกดอกไม้ทุกชนิด มีทะเลสาบ และสร้างกรงนกขนาดใหญ่ถักทอด้วยไม้และเหล็ก ด้วยความโศกเศร้าอาลัย เขามีชีวิตอยู่เหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลก

“สองเดือนต่อมาเขาได้รับจดหมายเขียนด้วยอักษรสีดำ ดูคล้ายรอยเท้านกอันยุ่งเหยิงบนกระดาษเจ็ดแผ่น เขาให้มาดามบลองชฺช่วยอ่านให้ฟัง มันเป็นจดหมายจากสาวญี่ปุ่นคนนั้น เพื่อให้เขาได้สัมผัสในสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัส และเพื่อที่จะได้ลืมเธอ...”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ผมถามเมื่อเห็นเขาเงียบอยู่นาน

“เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเอแลนภรรยา สามปีต่อมา เขาจึงได้รู้ว่าเอแลนเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนั้นและให้มาดามบลองชฺคัดลอกหลังจากเธอล้มป่วยและตายด้วยโรคไข้สมอง ทำให้เขารู้สึกเศร้าที่หลายปีก่อนหน้านั้น เขาหลงลืมเธอ ลืมความรักที่เธอมีให้เขา ตั้งแต่นั้นเขาเริ่มมีความสุขที่จะเอ่ยเล่าถึงการเดินทางให้คนอื่นๆ ฟัง เมื่อความเหงาบีบคั้นหัวใจ เขาจะไปสุสานเพื่อพูดกับเอแลน นานๆ ครั้ง ในวันที่ลมพัดแรง เขาจะลงไปถึงทะเลสาบเพื่อเฝ้ามองลวดลายบนผิวน้ำ แผ่วเบา...ราวกับเป็นภาพชีวิตของเขาเอง”

เมื่อผ่านพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เชียงของ ผมเรียกรถเครื่องสามล้อ บอกให้สารถีไปส่งเขาที่ท่ารถเชียงของ-เชียงราย

“ขอบคุณมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง”

เขาบีบมือผมไว้แน่นพลางเอ่ย “ที่ผมเล่าให้คุณฟัง ผมเพียงอยากให้คุณดูแลห่วงใยคนรักของคุณ เธอรักคุณนะ ผมอยากเห็นคุณกลับไปหาเธอ” เขาพูดขณะก้าวขึ้นนั่งบนรถเครื่องสามล้อ มองดูผมด้วยดวงตาเศร้าสร้อย รถเคลื่อนห่างจากไป

“แอรฺเว ฌองกูรฺ จำชื่อของผมไว้นะ ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นเหมือน...” ประโยคสุดท้ายของเขาแผ่วบางในสายลม
ผมนึกถึงเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟัง อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าผมหมองหมางใจกับคนรัก เขาจึงเอ่ยเล่าเรื่องของชายผู้เดินทางข้ามโลกเพื่อตามหาความรัก ทั้งที่เขาแทบจะหลงลืมใครอีกคนหนึ่งซึ่งคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลาที่ทุกข์ระทม คนที่รักเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันทำให้ผมครุ่นคิดถึงการกลับบ้าน พลันระลึกถึงรอยยิ้มและอ้อมแขนอันแสนอุ่นของใครบางคน.

พิมพ์ครั้งแรก สานแสงอรุณ ฉบับคืนสู่ความรู้สึกตัว 2551
*
ไหม อเลซซานโดร บาริโก: เขียน, งามพรรณ เวชชาชีวะ: แปล, สำนักพิมพ์สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์: พิมพ์ครั้งแรก: ๒๕๔๐

ไม่มีความคิดเห็น: