วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๔๐

เพลงศพ


ช่างง่ายดายเสียจริง ชีวิตคนเราหล่นร่วงดั่งใบไม้แห้ง ฉากการจากลาแห่งธรรมชาติ

ความตายได้พรากเอาชีวิตของบุคคลที่รักไปอีกครั้งหนึ่ง ละสังขารอันเปื่อยเน่าผุพังลงตามกาลเวลาไว้ในเชิงตะกอน ลอยล่องสู่แห่งหนไม่คุ้นเคยยังอีกภพหนึ่ง เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยอาลัยแห่งความดีงามในหัวใจทรงจำของลูกหลาน

หรือชีวิตมีเพียงแค่นี้…
ขบวนแห่ศพของชีวิต

ครั้นสิ้นเสียงดนตรี ท้องฟ้าหม่นสลัวสลับแดด สายลมพลิ้วผ่านใบไม้ร่มรื่น เชิงตะกอนนอนเงียบรอคอย ร่างไร้วิญญาณของพ่อเฒ่าในโลงศพที่ประดับประดาด้วยปราสาทและพวงหรีดดอกไม้ สรรพสิ่งราวสงบนิ่งรอคอยอยู่ชั่วขณะ อาลัยอาวรณ์…

ก่อนเคลื่อนไหวอีกครั้งพร้อมประกายเพลิงอันร้อนแรง

ช่างง่ายดายเสียงจริง ชีวิตคนเราหล่นร่วงดุจใบไม้แห้งแห่งฤดูกาล

สรรพชีวิตต่างเคลื่อนไหวไปตามบทเพลงแห่งธรรมชาติ แปรเปลี่ยนอยู่เนืองนิจ เมื่อธรรมชาติได้ให้กำเนิดชีวิตในวันหนึ่ง ธรรมชาติจึงพรากเอาชีวิตกลับคืนไป เฉกเช่นเดียวกับการถือกำเนิดของตุ่มใบเขียวสดใสบนกิ่งไม้ผลิแตกเป็นใบไม้งดงาม เพื่อเหี่ยวแห้งรอการร่วงโรยในวันหนึ่ง

เช่นเดียวกับวันนี้ เมื่อสายลมพลิ้วแผ่วมาเยือน ใบไม้แห้งจึงปลิดขั้วจากกิ่งก้าน ลอยคว้างสู่ผืนแผ่นดิน

ฉากการจากลาอันแสนธรรมดาจึงจบลง.

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๙

ดวงแข นามของเธอแปลว่าพระจันทร์

เพียงเวลาไม่นาน ฉันได้พบเธอ หญิงสาวจากเมืองลาว

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ฉันได้พบเธอ เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ บทสนทนาสั้นๆ รอยยิ้มและแววตาจ้องมองเพียงชั่วขณะ กลับยาวนานในความรู้สึกของฉัน แม้ว่าฉันไม่ได้เฝ้ามองเธอด้วยดวงตาทั้งหมดของฉัน แต่ฉันเฝ้ามองเธอด้วยความรู้สึกทั้งมวลของฉัน

จากเวียงจันทร์ เธอเดินทางขึ้นมายังเชียงของ เมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อทำสารคดีเกี่ยวกับแม่น้ำโขงตั้งแต่มณฑลยูนนานของจีนจนถึงปากแม่น้ำในเวียดนาม เพื่อเชื่อมร้อยผูกพันเรื่องราวแห่งวิถีวัฒนธรรมและชีวิตของผู้คนแห่งลุ่มน้ำโขง

เราพูดคุยกันในเรื่องราวของดนตรี วรรณกรรม งานเขียนของป้าดวงเดือน บุนยาวง ผู้เป็นแม่ของเธอ จนถึงวัฒนธรรมการอ่านของทั้งสองประเทศ

เธอบอกว่า งานวรรณกรรมต่างประเทศที่แปลเป็นภาษาลาวยังมีไม่มากนัก เจ้าชายน้อยของ แซงเต็กซูเปรี เพิ่งได้แปลเป็นภาษาลาวเมื่อไม่นานมานี้เอง ส่วนสำนักพิมพ์ดอกเกตุของเธอ มีงานรวมเรื่องสั้นเล่มใหม่ของแม่เธอคือ “จดหมายนี้ส่งถึงอ้าย” และมีงานแปลของมิคาฮิล โซโลคอฟ เล่มหนึ่งที่รอการตีพิมพ์อยู่

เธอเล่าถึงโครงการเก็บกู้ระเบิดในเขตเมืองเชียงขวาง ซึ่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาทิ้งระเบิดในช่วงสงคราม เวียดนาม ถึงในวันนี้ ยังมีระเบิดอยู่อีกนับแสนลูกที่รอการเก็บกู้ โดยไม่มีหน่วยงานต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของเงินทุน รวมทั้งสหรัฐเองที่ไม่กล้าเข้ามารับผิดชอบและให้ความช่วยเหลือ เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทิ้งระเบิดเหล่านี้ ทำราวกับการอยู่เงียบเช่นนี้ จะทำให้คนอื่นลืมความผิดของตัวเอง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อเมริกายังคงทิ้งระเบิดและทำร้ายผู้คนไปทั่วโลก พวกเขาจะทำร้ายผู้คนที่บริสุทธิ์และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปอีกนานเท่าไหร่กัน

เราพูดคุยถึงเรื่องการเมืองและความขัดแย้ง เธอเล่าถึงบางกลุ่มชาติพันธุ์ที่ออกมาปล้นฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามเส้นทางโดยสาร เรื่องการศึกษา ความทุกข์ยากของผู้คน ทุกเรื่องราวมีส่วนเชื่อมโยงถึงกัน ทำให้ฉันมองเห็นคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งไม่ได้มีอะไรเป็นเครื่องประกันความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิต สุขภาพและสวัสดิการสังคม ทั้งหมดเป็นดั่งบทเพลงเศร้าที่บรรเลงต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น

หากทว่าในบางท่อนของเพลงเศร้า เธอทำให้ฉันมองเห็นความสดใสร่าเริง เสียงหัวเราะและความหวังของ ผู้คน ในบทสนทนาของเรา น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลน่าฟัง ถ้อยคำเรียบง่าย รอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกายสดใสของเธอทำให้ฉันไม่อาจละสายตา

ดวงแข เธอบอก ชื่อของเธอมาจากภาษาเขมร แปลว่าดวงจันทร์ เธอเอ่ยถามชื่อของฉัน ชื่อของฉันแปลว่า สายฝนอันเงียบงัน ส่วนนามสกุลแปลว่า พระจันทร์เต็มดวง
เธอบอกว่า ชื่อของเรามาจากฟากฟ้าเช่นเดียวกัน.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๘

ฤดูแห่งสายฝน

หลายวันมานี้ ฝนตกลงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน ยามวันแทบไม่พบเห็นแสงแดด ค่ำคืนจึงเย็นยะเยือก

บรรยากาศครึ้มหม่นมัวตลอดทั้งวันคืน สายฝนโปรยลงมาเป็นช่วงๆ เสียงของแมลงดังมิได้ขาด เสียงเรือหางยาวแผดก้อง เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังมาจากอีกฟากฝั่งของลำน้ำ เสียงรถยนต์วิ่งผ่านถนน เสียงทุกเสียงดังขึ้นและเงียบหายไป

ฤดูฝนเริ่มต้นขึ้น ภายหลังฤดูร้อนเคลื่อนผ่านไป บนรอยต่ออันแปลกประหลาด จนเราแทบไม่สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง ฉันไม่รู้ว่าพายุฤดูร้อนสิ้นสุดลงตอนไหน และฤดูฝนเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด เพราะสายฝนเริ่มตกลงมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน และตกอยู่ตลอดทั้งเดือน สายฝนแห่งฤดูร้อน

ฤดูฝนเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่กันนะ หรือในค่ำคืนหนึ่งก่อนที่ฉันจะเข้ามาอยู่ในบ้านสวนแห่งนี้ ครั้งนั้นฝนตกลงมาสามวันติดต่อกัน ตกอย่างยาวนานจนฉันได้กลิ่นอายของฤดูฝน และกลิ่นอายดินอันชุ่มชื่น

ต้นไม้เริ่มผลิแตกใบใหม่ พืชใต้พื้นดินผุดขึ้นมาสู่อากาศบริสุทธิ์เบื้องบน ชีวิตดูจะเริ่มต้นอีกครั้ง ชาวนาต่างเร่งรีบไถหว่าน ข้าวและข้าวโพด ชาวประมงล่องเรือไหลมอง เพราะน้ำใหม่ชักชวนให้ปลาเดินทางไกลอีกหน ทุกคนทำงานอยู่กลางสายฝน ทุกใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใส ในสีเขียวแห่งฤดูฝน.

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๗

แว่วเสียงระฆัง

ความหนาวเยือกแห่งค่ำคืนปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา นอกหน้าต่างยังมืดมิด เสียงแมลงกรีดระงมมาจากในสวน เบื้องหลังสรรพเสียงมีเพียงความเงียบงัน

ฉันไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมากลางดึก ปรารถนาให้ยามรุ่งสางมาเยือนอย่างรวดเร็ว ฉันนอนฟังสรรพเสียงต่างๆ อยู่ในความมืด เสียงหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล เป็นเสียงทุ้ม แผ่วเบาเป็นจังหวะ ฉันพยายามฟังและคิดว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่ คงไม่มีสัตว์ชนิดใดเปล่งเสียงออกมาเป็นจังหวะดนตรีได้เช่นนี้ เสียงนั้นดังอยู่ห่างไกล ไกลเสียจนฉันจินตนาการไม่ถูกว่าเสียงนั้นดังมาจากที่แห่งใด

แล้วก็มีเสียงระฆังกังวานขึ้นมาจากอีกทิศทางหนึ่ง มันคงดังมาจากอารามสงฆ์บนภูเขาทางฟากตะวันออกของแม่น้ำ ดังขึ้นเป็นจังหวะเนิบเนือยและเร่งเร้าระรัว ตามมาด้วยเสียงทุ้ม แผ่วเบาเป็นจังหวะในทิศทางเดียวกัน มีเสียงระฆังดังขึ้นอีกทิศทางหนึ่ง ดังเป็นจังหวะเนิบเนือยและระรัวเร่ง ตามมาด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบาเป็นจังหวะของเสียงแรก เสียงระฆังและเสียงกลองค่อยๆ ดังขึ้นจากทิศทางต่างๆ ดังแว่วมาจากที่ห่างไกลออกไปอีกฟากฝั่งของแม่น้ำ

เสียงไก่ป่าขันแว่วดังแทรกอยู่ในเสียงกลองและกังวานแห่งระฆัง เบื้องนอกมองไม่เห็นอะไร แต่ฉันรู้ว่า ฟ้าใกล้จะสางแล้ว อีกไม่นาน ดวงตะวันจะฉายแสง.

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๖

ชาง ฟี มิง

ชาง ฟี มิง จิตรกรสีน้ำจากมาเลเซีย เป็นผู้หนึ่งที่ได้เดินทางเพื่อสัมผัสภาพความประทับใจอันแสนงดงามของผู้คนตลอดลุ่มลำน้ำโขง ตั้งแต่บนแผ่นดินที่ราบสูงแห่งธิเบต ในประเทศจีน จนถึงปากแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนาม เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ตลอดริมสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง

ฉันไปดูงานเขียนสีน้ำของเขาในวันสุดท้าย ที่หอศิลป์ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อชื่นชมภาพความงามอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับแม่น้ำโขง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นแง่มุมของปัจเจกภาพที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน ด้วยเส้นสายลวดลายของสีน้ำและภาพสเก็ต จัดแบ่งตามหัวข้อที่บ่งบอกถึงเรื่องราวของสายน้ำ ตลาด สภาวะแวดล้อม พิธีกรรมทางศาสนา และวิถีชีวิตของผู้คนอันหลากหลายได้อย่างงดงาม

หลายภาพได้สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่มีชีวิตอยู่กับแม่น้ำโขงอย่างแท้จริง และอีกหลายภาพบ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียนที่มีต่อภาพเหตุการณ์อันน่าประทับใจ บางภาพบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับแม่น้ำและวิถีชีวิตของผู้คน บางภาพแสดงถึงความงดงามของวัฒนธรรมประเพณี

ภาพทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งในเรื่องราวของผู้คนแห่งลุ่มน้ำนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอคอยให้ผู้คนได้หยิบยกขึ้นมาเล่าขานบอกต่อ ยังมีผู้คนมากมายปรารถนาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่ทว่าพวกเขามีเพียงเสียงแห่งความเงียบงัน จะมีใครบ้างหนอ หาญกล้าอาสาเช่นเดียวกับ ชาง ฟี มิง.