วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550

การเดินทางสามบรรทัด

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมเดินทางไปงานแต่งงานของเพื่อนที่อำภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมจึงถือโอกาสแวะที่อำเภอไชยา เพื่อเยี่ยมชมตลาด และโบราณสถานในละแวกใกล้เคียง ทั้งไม่ลืมไปเยี่ยมเยือนสวนโมกขพลาราม ผมได้เดินเรื่อยเปื่อยไปตามเส้นทางท่ามกลางหมู่ไม้รกครึ้มภายในสวนโมกข์ ฤดูฝนขับให้ผืนป่าที่นี่ชุ่มชื้นและครึ้มเขียวไปหมด ดูแล้วสงบเย็น เพียงแค่ได้เดินอยู่ในความเงียบสงบของที่นี่ ก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว

การได้ไปเยือนสวนโมกข์ ทำให้ผมนึกถึงการเขียนบันทึกสั้นๆ เหมือนครั้งไปเยือนแม่น้ำเงาเมื่อปลายปี ๒๕๔๔ ครั้งนั้นพวกเราพูดคุยกันว่า น่าจะเขียนอะไรกันคนละชิ้นสองชิ้นในการเดินทางร่วมกัน ผมจึงเลือกเขียนกลอนสั้นๆ สามสี่บรรทัด พร้อมด้วยบันทึกสั้นๆ เอาไว้ ครั้งนี้ผมจึงเลือกเขียนเป็นบันทึกสั้นๆ ประกอบกลอนสามบรรทัด เพื่อบันทึกเป็นการเดินทางสามบรรทัด เชิญทัศนา...


หัวลำโพง
เวทีสาธารณะ
เราล้วนเป็นตัวละคร

การเดินทางเริ่มต้นอีกครั้งที่หัวลำโพง ผู้คนในค่ำคืนนี้ไม่พลุกพล่านมากนัก แต่ละคนต่างมีจุดหมายของตัวเอง แต่ละคนต่างมีความใฝ่ฝันของตัวเอง แต่ละคนต่างออกเดินทางเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจากหัวใจของตนเอง เช่นเดียวกับฉัน

หัวลำโพง ศูนย์รวมคนเดินทางผู้แปลกหน้า เราร่วมอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เราร่วมกันแสดงอยู่บนเวทีของโลก บนเวทีของชีวิต มิต่างอะไรกับตัวละคร


ภายในตู้เสบียง
ผู้คนกินดื่ม
ชีวิต

บนรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ฉันนั่งอยู่ในตู้เสบียง เฝ้ามองดูผู้คนดื่มกินอาหาร พูดคุยและสรวลเสเฮฮา ภาพความมืดที่เคลื่อนผ่าน แต่ละสถานีที่เคลื่อนผ่าน ชีวิตได้เคลื่อนผ่านไปพร้อมกับวันเวลา ฉันพบความชราภาพในตัวเอง


ความมืดอันยืดยาว
ขบวนรถไฟใจ
ดูจะไร้จุดหมายปลายทาง

ความมืดรินไหลราวไม่สิ้นสุด ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟ เสียงกึงกังของล้อเหล็กเบียดเสียดรางบ่งบอกให้รู้ถึงหนทางอันยาวไกล จุดหมายของการเดินทางอาจมิไกลเกินไปนัก หากแต่จุดหมายแห่งหัวใจ อยู่ที่ใดนั้น ดูจะมืดมนหนทาง และไร้จุดมุ่งหมาย


รุ่งเช้า
โลกเปิดเปลือกตา
ชมมหรสพชีวิต

ฉันตื่นขึ้นมาเมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง รับรู้ถึงอากาศเย็นชื้นของสายฝนแห่งค่ำคืน ความชุ่มชื่นของต้นไม้ใบหญ้า หยาดน้ำค้างค้างเกาะใบไม้ มองเห็นสวนยางพารา ต้นมะพร้าว ตาลโตนด และท้องทุ่งนากว้างไกลสุดสายตา ขณะท้องฟ้าชักม่านเปิด ดวงอาทิตย์ไขแสง มหรสพแห่งชีวิตของที่นี่ เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


หม้อกาแฟกรุ่นไอร้อน
พระเดินบิณฑบาต
เนิบช้า

ฉันลงรถไฟที่สถานีไชยา สถานีเล็กๆ อันสงบเงียบของเมืองอันเงียบสงบ ฉันมองหาร้านกาแฟที่ซ่อนตัวอยู่ในตลาด เดินสวนกับพระที่ออกเดินบิณฑบาตมาตามถนนหนทาง แต่ละย่างก้าวสงบเงียบราวมิปรารถนารบกวนเวลาตื่นนอนของสรรพสัตว์ ค้อมกายนิ่งรับบาตรตามบ้านเรือน

นั่นไง ร้านกาแฟเก่าแก่ริมทางต้อนรับคนแปลกหน้า กรุ่นไอน้ำร้อนคลุ้งรอคอย...


ซากอิฐเก่าแก่
ความรุ่งเรืองแห่งอดีต
เผยตัวอยู่ตรงหน้า

ฉันนิ่งมองดูโบราณสถานศิลปะสมัยศรีวิชัยของวัดหลง เป็นซากอิฐเก่าแก่ พืชมอสขึ้นเขียวครึ้ม ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าอันเงียบเหงาและโดดเดี่ยว มิหลงเหลือร่องรอยความรุ่งเรืองแต่อดีตกาล แม้จะมีการสัณนิฐานกันว่า ไชยาเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยมากว่าหกศตวรรษ เป็นอาณาจักรที่มีความเจริญสูงสุด จากหลักฐานการค้นพบโบราณสถานและโบราณวัตถุอันเก่าแก่ คือพระบรมธาตุไชยา พระเจดีย์หรือปราสาทอิฐ ซึ่งบันทึกในศิลาจารึกสามองค์ที่วัดเวียง วัดแก้ว และวัดหลง

จากประวัติความเป็นมาทำให้ซากโบราณแห่งอดีตค่อยๆ เรืองรองขึ้นในใจ ราวจะนำพาเราให้พลัดหลงไปสู่ความรุ่งเรืองแห่งอดีตอีกครั้ง


พระพุทธรูปศิลาทราย
ดวงตา
สบดวงตา

ฉันก้มลงกราบเบื้องหน้าพระพุทธรูปศิลาทราย บริเวณด้านนอกของพระบรมธาตุไชยา พระพุทธรูปทั้งสามองค์ ดวงหน้ามีรูปลักษณ์อันแตกต่าง หากทว่าดูสงบ ดวงตาเปิดเพียงเล็กน้อยค้อมมองอย่างสำรวม ริมฝีปากแย้มอิ่ม สุขสงบ
ฉันเงยหน้าขึ้นสบมองดวงตาศิลาทราย ราวดวงตาสบดวงตา นิ่งงัน...


เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามา
หริ่งเรไรร้องระงม
แว่วเสียงธารน้ำไหล

เพียงแค่ย่างก้าวเข้าสู่สวนโมกขพลาราม เสียงจากโลกภายนอกดูเหมือนถูกกันออกห่างจากสรรพเสียงของจิ้งหรีดและเรไร

เนิ่นนานหลายปี วันเวลาได้นำพาฉันกลับมาที่นี่อีกครั้ง มาเฝ้าฟังเสียงพระธรรมรินผ่านสายลมโยกไหวยอดไม้ ใบไม้หล่นกระทบพื้น ไก่คุ้ยเขี่ยหาอาหาร และการขับบรรเลงของเพลงไพร เสียงพระธรรมค่อยๆ ก่อความสงบในจิตใจของฉัน เพื่อให้ฉันได้มีโอกาสหยุด และเฝ้าฟัง


ดั่งเคยอยู่
เหมือนไม่เคยอยู่
บนม้าหินตัวเดิม

ฉันนั่งเงียบ เฝ้ามองม้าหินตัวหนึ่ง ดั่งปริศนาธรรม “ตัวกู-ของกู ปล่อยวาง ซึ่งตัวกู-ของกู”

บนม้านั่งตัวนี้ ท่านพุทธทาสเคยนั่งบรรยายธรรมและต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ แต่วันนี้แม้ไม่มีท่านอยู่แล้ว แต่เหมือนท่านยังคงอยู่ ดั่งเคยอยู่ เหมือนไม่เคยอยู่ ปล่อยวางตัวกู-ของกู

๑๐
เพลงกล่อมเด็กแว่วยิน
หมากพร้าวกลางทะเลขี้ผึ้ง
ผู้พ้นบุญอยู่หนใด

ฉันเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงสระนาฬิเกร์ มองดูมะพร้าวยืนต้นโดดเดี่ยวกลางสระน้ำ เสียงเพลงกล่อมเด็กล่องลอยผ่านเข้ามา

เอ่อน้องเอย มะพร้าวนาฬิเกร์
ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง
ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง
กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย

มะพร้าวยังยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ที่นี่ คล้ายดั่งรอคอย...

๑๑
โบสถ์ธรรมชาติ
แวดล้อมด้วยต้นไม้
และเสียงนกร้อง

ฉันเดินหลงเวียนอยู่เนิ่นนานเพื่อหาทางขึ้นสู่โบสถ์ธรรมชาติเขาพุทธทอง ยิ่งเดิน ดูเหมือนยิ่งห่างไกล ทว่าหนทางย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะค้นหาพบหรือไม่

ฉันก้มลงกราบหน้าพระประธาน สงบนิ่ง เฝ้าฟังเสียงของความเงียบ เสียงบทสวดสาธยายมนต์รินผ่านสายลมที่โยกไหวใบไม้ ในเสียงนกร้อง และหริ่งหรีดเรไรระงม

เพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ ฉันพลันได้ยินเสียงใจของตัวเอง

๑๒
ก้อนหิน
นิ่งสงบ
ฟังเสียงสายลมพัดผ่าน

ฉันเฝ้ามองก้อนหิน นิ่งสงบ ไม่เคลื่อนไหว สายลมเป่าพัดลมหายใจ ก้อนหินพลันมีชีวิต ขณะฉันนิ่งสงบ ไม่เคลื่อนไหว อุ่นอวลในลมหายใจ เหมือนมีใครเฝ้ามอง.


ไม่มีความคิดเห็น: