วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เรื่องเล่าของสายน้ำ

หยดหนึ่งมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

เรื่องเล่าของสายน้ำ
(บทสนทนาระหว่างปลากับสะพาน)

ค่ำคืนอันเงียบเหงา เขาเริ่มต้นเรื่องเล่าของตนว่า...
เช้าวันนั้น ฤดูหนาวไหลลอยมากับสายน้ำ ฝูงปลาน้อยใหญ่พากันว่ายกลับลงมา พวกเขาบอกเล่าถึงสายน้ำอันเย็นยะเยือกแห่งฤดูหนาว ไหลลงมาจากป่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนอยู่ตามภูเขาสูง ป่าทั้งป่าจะกลับกลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนหลอมละลายไหลรวมกันอยู่ในหุบห้วยลำธาร หลอมรวมกันจนกลายเป็นแม่น้ำ ก่อนเดินทางไกลจนมาถึงอ่าวทะเล
ข้าบอกว่านั่นมันเป็นเรื่องเมื่อนมนานกาเลมาแล้ว เป็นนิทานที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเล่าให้ข้าฟังจนกลายเป็นเรื่องล้าสมัย พวกเขาพากันหัวเราะและบอกว่า เจ้าจะรู้อะไร เพราะตั้งแต่เกิดมาเจ้าไม่เคยได้เดินทางไปไหนไกลเกินสองฟากฝั่งแม่น้ำสายนี้ เจ้าไม่รู้หรอกว่า ก่อนจะมาถึงแม่น้ำสายที่เจ้ายืนอยู่นี้ มีอะไรเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง เจ้าไม่รู้หรอกว่าแม่น้ำสายนี้มีความเป็นมาอย่างไร
ข้าได้แต่นิ่งฟังด้วยไม่อาจหาเหตุผลมากล่าวอ้างว่าข้ารู้ และด้วยความไม่รู้ยิ่งทำให้ข้าปรารถนาใคร่รู้มากขึ้น
พวกเราจะบอกเจ้าให้จดจำเอาไว้ พวกเขาเริ่มต้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า แม่น้ำสายนี้เกิดขึ้นมาจากหยดน้ำ มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในป่าดึกดำบรรพ์อันชุ่มชื้นและผืนดินอันอุดมไปด้วยแหล่งน้ำซับ แต่ละหยดถูกเก็บซับเอาไว้มากพอจนกลายเป็นหุบห้วยลำธารไหลรินไม่สิ้นสุด ไหลรวมกับลำห้วยสายอื่นๆ จนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ และนี่คือที่มาของแม่น้ำแต่ละสาย ก่อนที่จะไหลมาถึงจุดที่เจ้ายืนอยู่นี้ เป็นเช่นนี้มานับพันปีแล้ว แต่อาจจะเป็นอีกได้ไม่นานนัก หากมนุษย์ยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แม่น้ำสายนี้อาจจะหยุดไหล เจ้าอาจจะได้อยู่จนถึงวันนั้น
นี่พวกเจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน ข้าไม่มีทางเชื่อว่าแม่น้ำสายนี้จะหยุดไหลได้เลย นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้อะไร พวกเขาร้องบอก เจ้าไม่รู้หรอกว่ามนุษย์ได้ทำอะไรไว้บ้างกับแม่น้ำแต่ละสาย พวกเขาทำลายหยดน้ำด้วยการตัดไม้ทำลายป่า พวกเขาสร้างเขื่อนไว้กักเก็บน้ำนัยว่าเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพื่อการเกษตร แต่ในฤดูแล้ง เขื่อนกลับไม่ยอมปล่อยน้ำมาให้ชาวไร่ชาวนา ครั้นถึงฤดูน้ำหลาก เขื่อนกลับปล่อยน้ำออกมาท่วมพืชสวนไร่นาและบ้านเรือน สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน
เจ้าจะรู้อะไร ก่อนที่พวกเราจะพากันเดินทางมาถึงที่นี่ได้ ช่างยากลำบากเสียจริง พวกเราส่วนใหญ่หลงอยู่ในเวิ้งน้ำแผ่กว้างไม่สิ้นสุด หลายคนติดตาข่ายหรือไม่ก็เบ็ดราวของชาวบ้านที่น่าสงสารพวกนั้น เพราะบ้านเรือนของเขาถูกน้ำท่วมจนแทบไม่มีที่อาศัย ไร่นาสาโทจมอยู่ใต้กระแสน้ำ บ่อเลี้ยงปลาของพวกเขาต้องเสียหาย (เพื่อนของเราที่หลุดออกมาจากบ่อเลี้ยงปลาเล่าให้ฟังเช่นนั้น) สวนผักผลไม้ และอีกมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ใต้กระแสน้ำทั้งหมดทั้งสิ้น นานนับเดือนทีเดียวเพื่อนเอ๋ย
และเมื่อพวกเราพยายามหาหนทางกลับมายังแม่น้ำสายนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ประตูเขื่อนทุกเขื่อนที่พอจะมีอยู่ ประตูระบายน้ำทุกช่องระบายถูกปิดตายทั้งหมด พวกมนุษย์กั้นสายน้ำไว้ไม่ให้ไหลตามปกติ ไม่ให้มันไหลเข้าท่วมบ้านเมืองของคนรวย แต่กลับปล่อยให้คนจนๆ ต้องเดือดร้อนกันได้ไม่สิ้นสุด พวกมนุษย์นี้ช่างแล้งไร้น้ำใจกันเสียเหลือเกิน
ข้าจะเชื่อพวกเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่มานับนานเฉกเช่นบรรพบุรุษของพวกเจ้า มันมีไม่กี่ครั้งนักหรอกที่ข้าประสบกับเหตุการณ์น้ำท่วม มันสูงขึ้นมาจนแทบจะถึงทรวงอกของข้านี่ พวกเจ้าดูรึ ปีนี้น้ำท่วมสูงเพียงหัวเข่าของข้าเอง แม้ว่าน้ำทะเลจะหนุนเนืองขึ้นเพียงใด น้ำก็จะไม่สูงเกินกว่านี้มากนัก ถึงแม้บ้านเรือนที่อยู่ริมฝั่งน้ำของชาวบ้านจะถูกน้ำท่วมบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่ข้าเคยเห็นมาตั้งแต่เกิด พวกเจ้าอย่าพูดจาเพ้อพกให้ข้าหลงเชื่อเลย
นี่เจ้าไม่ได้ยินเสียงครวญของแม่น้ำดอกรึ บทเพลงของสายน้ำแปรเปลี่ยนท่วงทำนองไปเสียแล้ว ด้วยเพราะเธอถูกกักขัง ถูกทำให้แปรเปลี่ยน พวกเธอกำลังโศกเศร้าด้วยถูกบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่เลวร้าย นั่นคือการทำลาย เจ้าไม่เคยรู้เลยหรือว่า แม่น้ำก่อกำเนิดขึ้นมาจากความรัก ความเมตตาอาทร แม่น้ำถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ทำลาย
เขาจบเรื่องเล่าของตนด้วยความเงียบงัน ข้าพเจ้านึกอยากปลอบโยน วางมือลูบไล้เนื้อปูนหยาบกระด้างของราวสะพาน ขณะเฝ้ามองแสงพริบพรายของแม่น้ำยามค่ำคืน ณ เมืองใหญ่แห่งนี้
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับพระไตรปิฎก ภูมิปัญญาที่เราหลงลืม มีนาคม-เมษายน 2550

ไม่มีความคิดเห็น: