วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550

วิถีเท้า

หนึ่งหยดมหาชเล
วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

วิถีเท้า การคืบคลานของหนอนใบไม้

สายฝนแห่งค่ำคืนขับให้ยามเช้าของวันใหม่สดใสกระจ่าง เมฆคลี่พรายมองดูคล้ายลูกแกะสีขาวฝูงใหญ่ถูกต้อนผ่านทุ่งฟ้าโปร่งงาม แสงแดดอ่อนโยนส่องผ่านพุ่มไม้ใบบังเป็นดวงดอกแดดกระจัดกระจายอยู่ตามถนนหนทาง บางหยาดน้ำค้างเกาะพราวตามใบไม้สลัดฟองฝอยพร่างพรู ทิ้งร่องรอยชื้นแฉะที่นั่นที่นี่ บนกลีบสีแดงฉานของดอกหางนกยูงเกลื่อนกระจายพื้น บนพรมหญ้าสดขจีและพื้นดินชุ่มชื่น หอมไอดินกลิ่นหญ้าสดใหม่แห่งฤดูฝน หอมอวลกลิ่นของใบไม้ระบัดใหม่ผลิงาม
เฉกเช่นทุกเช้า ฉันคงอ้อยอิ่งอยู่กับมวลใบไม้ในสวนสาธารณะย่านท่าเรือสาทร ไต่เดินต้วมเตี้ยมอย่างมีความสุข ไล่เลาะสายตาจากใบไม้หนึ่งสู่ใบไม้อีกใบ ไต่เลาะจากต้นไม้หนึ่งสู่อีกต้นไม้หนึ่ง จากสีม่วงอ่อนของดอกอินทนิลช่อสุดท้ายสู่สีแสดแดงของดอกยางนกยูงบานเบ่งก่อนโรยร่วง จากสีเหลืองส้มของดอกพุทธรักษาถึงช่อดอกเข็มสีแดงสด จากการโรยราของชีวิตสู่การถือกำเนิดใหม่
จากม่านใบไม้ ฉันเฝ้ามองผู้คนเร่งรีบฝีเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังท่าเรือข้ามฟาก ผู้คนทบทยอยกันมามากมาย ตั้งแต่รุ่งสางยามที่ม่านหมอกบางเบายังปกคลุมแม่น้ำจวบดวงอาทิตย์สาดแสงแรงร้อน เรือโดยสารเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าคอยขนถ่ายผู้คน แต่ขบวนของมนุษย์ก็มีมาไม่ขาดสาย แดดยิ่งร้อน ฝีเท้ายิ่งก้าวเร็ว แต่ไม่อาจก้าวตามทันหัวใจ
ทุกคนต่างเร่งรีบเสียจนบางครั้ง พวกเขาหลงลืมแม้แต่คนที่เดินข้างเคียง บังเบียดซึ่งกันและกันเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง สิ่งต่างๆ รอบกายจึงล้วนแต่ไร้ความหมาย ไม่มีสายตาใดเหลียวมอง ไม่มีหัวใจดวงใดได้สัมผัสต้อง พวกเขาจะรับรู้บ้างหรือไม่หนอ ว่าท้องฟ้าวันนี้ต่างจากวันวานเพียงใด
ถึงแม้โลกจะหมุนเร็วมากขึ้นเพียงใด (รับรู้โดยวันและคืนอันเปลี่ยนผ่าน) การรีบเร่งแข่งขัน การไปถึงก่อนอาจมิใช่ผู้มีชัย หากต้องเหยียบข้ามคนที่เดินเคียงข้าง จุดหมายปลายทางอาจไร้ซึ่งความหมาย หากจุดสูงสุดของชีวิตคือการอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่า ด้วยบางครั้งจุดหมายปลายทางอาจไม่สำคัญเสมอไป ในเมื่อระหว่างเส้นทางมีใบไม้แตกใหม่มากมาย มีเพื่อนชีวิตอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้ เข้าใจ
พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่า ความรักจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ และแลเห็นมันได้อย่างชัดเจนเท่านั้น และการที่จะแลเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น เราอาจจำต้องเคลื่อนไหวให้ช้าลง เพื่อมีเวลาเพ่งพินิจ ทำความรู้จักโลก และเข้าใจมันได้มากขึ้น เพราะการเดินบนพื้นโลก โลกจะปรากฏแก่สายตา* ขณะเดียวกัน เราจะปรากฏแก่สายตาของโลกในทุกย่างก้าว สัมผัสรับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน
เช่นเดียวกับการเดินเอื่อยช้าทำให้ฉันรับรู้การมีอยู่ของต้นไม้ใบไม้ พื้นดิน ท้องฟ้า และหมู่เมฆ รับรู้การมีอยู่ของมวลมิตรแห่งชีวิต และสรรพเสียงแห่งการถือกำเนิดใหม่ของวารวัน ขณะเรารับรู้ถึงความงามแห่งสรรพสิ่งที่มีอยู่รอบกาย เราไม่รู้หรอกว่า โลกจะค่อยๆ ซึมซ่านเข้าสู่หัวใจของเรา นำพาความอ่อนโยนมาสู่หัวใจของเรา เป็นไปได้หรือไม่ว่า โลกได้หว่านโปรยเมล็ดพันธุ์แห่งความรักไว้ในหัวใจของเราแล้ว
ในขณะที่เรารับรู้การดำรงอยู่ของโลก และโลกรับรู้การมีอยู่ของเรา มันยังทำให้เราสามารถมองเห็นตัวเองได้อย่างเข้าใจยิ่งขึ้น เมื่อบานประตูแห่งหัวใจที่เคยลั่นดาลมานานปีจะถูกเปิดออก เราจึงสามารถมองดูคนอื่นด้วยความเข้าใจ มองดูเพื่อนชีวิตด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก และพร้อมจะทำความเข้าใจได้มากขึ้น
ขอเพียงแต่เราพร้อมที่จะใส่หัวใจลงในทุกสิ่งทุกอย่าง โลกหลากมุมมองจะเผยแสดงต่อหน้าให้เราได้สัมผัส ถึงแม้จะเป็นเพียงมุมมองของหนอนใบไม้อย่างฉันก็ตาม
ผ่านมุมมองบนใบไม้ ผู้คนยังคงเร่งร้อนเดินผ่านราวกับกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะเคลื่อนห่างออกไปเกินกว่าช่วงเวลาแห่งชีวิตที่เหลือ ก็ช่างเถอะ ถึงแม้ว่าชีวิตหนึ่งเราจะไปไม่ถึงจุดหมายใดเลยก็ตาม หากเราไม่ละเลยสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้าง ไม่ละเลยฟองฝอยพร่างพรูของสายฝนในเช้าวันแจ่มใส ดอกไม้ใบหญ้าริมทางเดิน หรือหนอนใบไม้สักตัวหนึ่งที่เฝ้ามองพวกคุณอยู่ เช่นเดียวกับฉัน
ขอแค่เพียงความรักดำรงอยู่ในหัวใจ เราก็สามารถก้าวเดินอย่างมีความสุขและเป็นอิสระบนโลกใบนี้ เพื่อว่าวันหนึ่ง ตัวตนของเราจะเปลี่ยนผ่านสู่รูปใหม่ โบยบินออกไปเหนือสวนดอกไม้.


* “เดิน: วิถีแห่งสติ” ติช นัท ฮันห์ เขียน, รสนา โตสิตระกูล แปล สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, ธันวาคม ๒๕๒๘

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับควอนตัม สามัญประจำบ้าน กันยายน-ตุลาคม 2549

ไม่มีความคิดเห็น: