วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เสียงน้ำและความเงียบงัน ๓๓

ท่าเรือ

วันนี้ท่าเรือแจมป๋องมีผู้คนคึกคักเป็นพิเศษ ต่างจากหลายครั้งก่อนที่ฉันเคยเห็น นั่นเป็นเพราะด่านผ่อนปรนชายแดนทำให้คนจากฟากตะวันออกของแม่น้ำข้ามมาหาซื้อข้าวของกันได้

มันเป็นวันว่างๆ ของเรา พี่อู๊ดชวนเราไปเที่ยวท่าเรือ บริเวณหน้าด่านมีแพอยู่หลายลำ เปิดเป็นร้านอาหาร ขายก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ลาบน้ำตก และพืชผักผลไม้ เราพากันเดินมาบริเวณศาลา ดวงตาหลายคู่เฝ้ามองการมาของเรา ถัดจากศาลามีคนมาตั้งเพิงขายเสื้อผ้าเก่า มีคนลาวเลือกซื้ออยู่สามสี่คน

เราเดินลงมาสั่งอาหารบนแพ และนั่งเล่นอยู่ริมแพ เอาขาแช่น้ำเย็นเยือก รายการอาหารของทุกร้านเขียนเป็นภาษาลาว ฉันพอจะอ่านออกและเดารายการอาหาร หลังจากกินอาหารเสร็จ เรากลับมานั่งเล่นอยู่ที่เดิม เรือจากฝั่งลาวหลายลำมาจอดรอซื้อของและรอรับผู้โดยสาร บางคนขึ้นมานั่งกินอาหาร บางคนนั่งรอเพื่อนร่วมทางอยู่บนแพ และอีกหลายคนจัดเตรียมสัมภาระอยู่ในเรือ ซึ่งบรรทุกของเพียบ กลางลำเรือมีแผงโค้งคุ้มฝนคุ้มแดด หมาสองตัวโผล่หน้าออกมาจากลำเรือ ผู้คนเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก เต็มด้วยสรรพเสียงและสีสัน

กลางแม่น้ำมีเรือไหลมองอยู่หลายลำ ฝั่งตรงข้ามเป็นหมู่บ้านทางฝั่งลาว เสียงเรือหางยาวดังลั่นมาจากโค้งน้ำ แล่นด้วยความเร็วปล่อยน้ำกระจายตีเกลียวคลื่นม้วนโตเข้าหาสองฟากฝั่ง เรือโดยสารเริ่มทยอยออกเดินทาง เมื่อผู้โดยสารมากันครบ พวกเขาขึ้นไปนั่งรวมกับข้าวของบนเรือจนปริ่มล้น เรือเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ หายลับไป พี่อู๊ดบอกว่า เรือพวกนี้ส่วนมากมาจากเมืองปากทาที่อยู่ทางตอนใต้ลงไป

แม่หญิงลาวคนหนึ่งเดินขนของมาลงเรือกับแม่ของนาง นางคงข้ามมาทำงานอยู่ทางฟากนี้ เมื่อชายชราถอยเรือเข้ามารับ ฉันช่วยจับกราบเรือไว้ให้นาง เมื่อนางและแม่นั่งเรียบร้อย เรือค่อยๆ ถอยออกห่าง ฉันเฝ้ามองใบหน้าสวยงามอย่างเรียบง่ายของแม่หญิง ความงามที่ไร้การปรุงแต่ง ใบหน้านั้นค่อยๆ ถอยห่างออกไป และห่างออกไป กลับไปสู่หมู่บ้านของนาง.

ไม่มีความคิดเห็น: