วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ดวงตะวันที่จำปาสัก

วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล

ยามเช้ากำลังเริ่มต้นขึ้นที่ริมขอบฟ้า ขณะความมืดคลี่ม่านหม่นเผยให้เห็นผืนฟ้างามครามชมพู เรื่อเรืองราวผิวสาวเปล่งปลั่งส่องสะท้อนจนพื้นผิวของแม่น้ำโขงอาบด้วยมวลแห่งสีสันดุจเดียวกัน

ฉันยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ฟังเสียงคลื่นน้ำทบทยอยเข้าสู่ชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่าราวมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย สายลมหนาวยะเยือกหอบพัดเอากลิ่นหอมชื่นของแม่น้ำอันคุ้นเคยเข้ามา ฉันเฝ้ามองดูฝูงนกสีขาวผกโผจากรวงรังบินข้ามฟ้าลับหายไปในม่านหมอกเบื้องทิศตะวันออก ขณะดวงตะวันสีแดงปรากฏรูปกายเหนือเส้นขอบฟ้า เรืองรองด้วยแสงแดดอ่อนจาง ค่อยๆ เก็บซับมวลหมอกเหนือผิวน้ำ ค่อยๆ อาบความอบอุ่นไปทั่วบริเวณ

หมู่บ้านริมฝั่งเรืองรองอ่อนหวานด้วยแสงแรก ก่อนแผ่ซ่านละอองแดดอันอบอุ่นอาบผืนน้ำโขงจนเปล่งประกายงามระยับ เอื้อความอบอุ่นให้กับเรือหาปลาของชาวประมงพื้นบ้านที่ล่องลอยอยู่กลางแม่น้ำตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง เด็กชายตักน้ำขึ้นมารดพืชผักของแปลงเกษตรริมฝั่งแม่น้ำโขง แม่หญิงชาวบ้านลงมาซักผ้าและตักน้ำหาบเอาขึ้นไปเก็บไว้ใช้ภายในครัวเรือน และเด็กๆ ที่วิ่งเล่นสนุกสนานอยู่ในรั้วบ้านอันอบอุ่น

ละอองแดดอบอุ่นอาบร่างของหญิงแม่ค้าน้อยๆ สวมหมวกญวนขี่รถถีบกระเตงของขายอยู่บนถนนสายหลักในเมือง แม่หญิงชาวบ้านใส่บาตรและพนมมือรับพรจากพระสามสี่รูปที่เดินออกมาบิณฑบาตตามบ้านเรือน แม่เฒ่าสองนางสวมเสื้อกันหนาวนั่งเคี้ยวหมากพูดคุยถึงความหลังบนเตียงไม้ใหญ่หน้าบ้าน และไอร้อนจากหม้อต้มกาแฟและหม้อเฝออวลอุ่นในร้านกาแฟยามเช้าที่คับคั่งไปด้วยผู้คน

ละอองแดดอาบอุ่นต้นไม้ใบหญ้าสดขจีจากหยาดน้ำค้างยามเช้า งานบุญเลี้ยงพระของบรรดาพ่อบ้านแม่บ้านที่กำลังนั่งฟังเพลงสวดแห่งสานุศิษย์ของสมณโคดม นักกีฬาเดินยืดเส้นสายเพื่อเตรียมตัวลงสนามแข่งขันในงานกีฬาประจำแขวง ขบวนผู้โดยสารและสัมภาระอัดแน่นบนรถสองแถวที่กำลังเดินทางจากเมืองไปสู่เมือง และบรรดานักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่กำลังเตรียมเดินทางไปร่วมงานบุญที่ปราสาทวัดพู

ละอองแดดอาบอุ่นอยู่ตามตึกรามบ้านช่องห้องหับของเมือง โฮงหมอหรือสถานพยาบาลอันเงียบร้างและไร้ผู้คน สนามและอาคารของโฮงเฮียนอันเงียบเหงาในเช้าวันอาทิตย์ สิมและวัดวาอารามนิ่งสงบรอคอยผู้ศรัทธาเข้ามาเยี่ยมเยือน เฮือนไม้ประดับประดาสร้อยฉลุเชิงชายหลังคาแบบขนมปังขิงตามสถาปัตยกรรมร่วมสมัยรัชกาลที่ห้า ตึกโคโรเนียลร่องรอยแห่งศิลปะตกค้างจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ขัวหรือสะพานวัดใจที่ไม่อนุญาตให้รถวิ่งผ่านสวนทางบนลำห้วยสายน้อย

ดวงตะวันอาบละอองแดดอันอบอุ่นไปทั่วเมืองทั้งเมือง มิแบ่งแยกผู้เหย้าหรือผู้มาเยือน มิแบ่งแยกว่ายากดีมีจนสูงส่งหรือต่ำทราม มิแบ่งแยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือศาสนา ตามวิถีชีวิตอันเรียบง่ายงดงามของผู้คน ทว่าเอื้อความอบอุ่นไปถ้วนทั่วตลอดเส้นสายแม่น้ำโขง มิได้แบ่งแยกว่าเป็นผู้ให้หรือผู้ทำลาย เป็นผู้กักตุนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตนหรือผู้คอยเอื้อเฟื้อแบ่งปัน มิแบ่งแยกว่าเป็นจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชาหรือเวียดนาม แม่น้ำโขงยังคงหลากไหลไปหล่อเลี้ยง ดวงตะวันยังสาดแสงร้อนแรงอบอุ่น

ทุกครั้งที่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าสายน้ำ ฉันนึกถึงความเอื้อเฟื้อแบ่งปันที่หลากไหลไปหล่อเลี้ยงมวลสิ่งมีชีวิตได้ไม่เคยสิ้นสุด ทุกครั้งที่ได้เฝ้ามองการก่อกำเนิดของดวงตะวัน ฉันนึกถึงการเริ่มต้นของชีวิตและการเอื้อเฟื้อแบ่งปันความอบอุ่นให้กับชีวิตได้ไม่เคยหมดสิ้น และทุกครั้งจึงก่อเกิดความอบอุ่นคุ้นเคยเล็กๆ ในใจฉัน แม้นจะอยู่ในแดนดินอันห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน

ใช่หรือไม่ว่า นี่คือหัวใจแห่งรักของผู้มอบให้อย่างแท้จริง เฉกเช่นสายน้ำให้ได้โดยไม่เคยร้องขอสิ่งตอบแทน แสงของดวงตะวันอาบเอื้อแบ่งปันให้โดยไม่เคยร้องขอสิ่งตอบแทน และเช่นเดียวกัน ฉันปรารถนาเป็นได้แค่เพียงเศษหนึ่งส่วนล้านของสายน้ำและดวงตะวัน...
ขอบคุณ นู๋ไหม สำหรับภาพสุดท้าย
พิมพ์ครั้งแรก สานแสงอรุณ ฉบับโลกต้องการ "เล็ก" และ "งาม" พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๐

ไม่มีความคิดเห็น: